ชีวิตอิสระ(4wheels)
เดียนเบียนฟู
ประวัติศาสตร์สมรภูมิเลือด "เดียนเบียนฟู"
"เดียนเบียนฟู" สมรภูมิรบอันลือลั่นในช่วงสงครามอินโดจีน ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างกองทัพฝรั่งเศสกับกองทัพฝ่ายต่อต้านการครอบครองของชาวเวียดนาม นำโดย นายพลโฮจิมินห์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ กองทัพเวียดมินห์ ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ตามสภาพพื้นที่ซึ่งมีแต่ภูเขาล้อมรอบ ทำให้ยากแก่การโจมตี แต่นายพลโฮจิมินห์ ได้รวบรวมประชาชนและใช้ความกล้าหาญของประชาชนถอดปืนใหญ่ออกเป็นชิ้น ลำเลียงขึ้นบนยอดเขาด้วยความยากลำบาก เพื่อระดมยิงปืนพร้อมเข้าตีป้อมเดียนเบียนฟู ทำให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในที่สุด
ประวัติศาสตร์ของเดียนเบียนฟู รวมถึงความหลากหลายตามสภาพพื้นที่ ทำให้บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด จัดกิจกรรม "อีซูซุ คาราวานสัญจร" ประจำปี 2556 เส้นทางที่ 4 ไทย (เชียงของ)-ลาว-เวียดนาม (เดียนเบียนฟู) 5 วัน 4 คืน ที่สนุก...มิรู้ลืม
"กรุงเทพ ฯ-เชียงของ"
จุดเริ่มต้นการเดินทาง
เจ้าหน้าที่จากบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด และเพื่อนๆ สื่อมวลชนสายรถยนต์เกือบ 30 ชีวิต นัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อนั่งเครื่องบินไปเชียงราย คณะของเราเข้าเชคอินที่โรงแรมเชียงของ ทีค การ์เดน เพื่อพักผ่อนและฟังบรรยายสรุปเส้นทางโดย พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ โดยมีนักขับผู้ใช้รถยนต์ อีซูซุ ร่วมทริพทั้งสิ้น 27 คัน และจะตะลุยดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ในตอนเช้าของวันถัดไป
"ห้วยทราย-อุดมไชย"
แหวกพายุ ลุยโค้ง เลาะภูเขา
พิธีปล่อยคาราวานมี อาซึชิ สุกียามา ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายขาย ดีลเลอร์ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด พรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดเชียงราย และสบธนา อั๋นประเสริฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงาน ททท. สำนักงานเชียงราย ร่วมตีธงปล่อยขบวนคาราวาน เริ่มจาก บริษัท อีซูซุเชียงราย (2002) จำกัด อ. เชียงของ สู่ด่านตรวจคนเข้าเมือง โดยนำรถลงแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำโขงสู่เมืองห้วยทราย ไปยังจุดหมายปลายทางที่เมืองอุดมไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
ภูมิประเทศที่ สปป. ลาว เป็นเขาเกือบตลอดทาง โค้งซ้าย/ขวาสลับกันไปมา นั่งรถมาค่อนวัน เราแวะพักรับประทานอาหารกลางวัน ที่ร้านสบายดีหลวงน้ำทา ร้านอาหารท้องถิ่นของเมืองลาว ได้ชิมอาหารพื้นบ้าน พร้อมได้ลองกาแฟลาวที่ขึ้นชื่อว่าเด็ดมาก
จากนั้นเราเดินทางต่อ เส้นทางยังคงเหมือนเดิม โค้งซ้าย/ขวา และมีตัวแปรอีกอย่าง คือ พายุดีพเรสชัน "มังคุด" ที่แผลงฤทธิ์เป็นห่าฝนกระหน่ำ ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แต่ก็มาถึง FRIENDSHIP HOTEL โรงแรมหรูระดับ 4 ดาว ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย แถมด้วยมื้อค่ำที่เอร็ดอร่อยจากอาหารพื้นเมือง ที่ร้านกันยา ซึ่งประกอบอาหารรสชาติแซ่บๆ ใกล้เคียงอาหารอีสานบ้านเรา
"อุดมไชย-เดียนเบียนฟู"
ฝ่าฝน ชมเมืองประวัติศาสตร์
วันนี้ขบวนคาราวานออกเดินทางแต่เช้าตรู่ จุดหมายอยู่ที่เดียนเบียนฟู โดยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองปางหก ที่ชายแดนลาว-เวียดนาม ดูเหมือน "มังคุด" จะตามเราไปทุกหนแห่ง และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับเส้นทางหลวงชนบท นั่นคือ "ดินสไลด์" ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เส้นทางยังคงเหมือนเดิม โค้งซ้าย/ขวาสลับกันถี่ยิบ ฝนตกลงมาอย่างหนัก การเดินทางจึงไม่สามารถใช้ความเร็วได้ เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย
เนื่องจากความเร็วไม่ได้ตามกำหนด ระยะเวลาที่วางไว้จึงคลาดเคลื่อน แต่อุปสรรคต่างๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และก็มาถึงชายแดนของ สปป.ลาว ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านไตจาง เพื่อเข้าสู่ประเทศเวียดนาม และเดินทางต่อไปยังปลายทางที่เมืองเดียนเบียนฟู ทัศนียภาพเริ่มเปลี่ยนจากความโหดร้ายของธรรมชาติเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดสองข้างทาง
ไม่นานนักขบวนคาราวานก็มาถึง MUONG THANH DIEN BIEN PHU HOTEL ซึ่งเป็นเส้นชัยและจุดพักรถของนักขับที่เข้าร่วมการเดินทางในครั้งนี้ ก่อนเชคอินเข้าที่พัก ซึ่งถือว่าการเดินทางในรูปแบบคาราวานรถยนต์ได้สิ้นสุดลง ณ โรงแรมแห่งนี้ คืนนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับขบวนคาราวานของเรา ทางโรงแรมได้จัดอาหารไว้เลี้ยงต้อนรับอย่างอลังการ ส่วนใหญ่เน้นผักเป็นส่วนประกอบ ถ้าเป็นไก่ จะต้มแล้วสับมาทั้งกระดูก ที่แน่ที่สุด คือ ไข่เจียว เมนูคุ้นเคยสั่งเพิ่มเอาไว้เผื่ออาหารไม่ถูกปาก ตบท้ายด้วยเบียร์ SAIGON รสละมุน ก่อนพักผ่อนตามอัธยาศัย พร้อมตะลุยเที่ยวในวันถัดไป บอกไว้ก่อนเลยว่า เดียนเบียนฟูมีสถานที่สำคัญๆ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาหาความรู้เพียบ
"เดียนเบียนฟู"
วิถีชีวิตแฝงด้วยร่องรอยของสงคราม
เราตื่นกันแต่เช้าตรู่ เพื่อชมวิถีชีวิตชาวเมือง จุดหมายแรก คือ ตลาดสด HIM LAM PLAZA คนเวียดนามส่วนใหญ่จะเน้นประกอบอาหารเอง คือ ไปตลาดหาซื้อของสด ซึ่งสดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่ เป็ด หรือปลา ก็ยังเป็นๆ เรียกว่า หิ้วคอกลับกันเลยทีเดียว แต่พ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดเขาก็มีบริการชำแหละกันแบบให้เห็นจะๆ ผู้คนที่นี่เขาคงเห็นกันจนชินตา แต่สำหรับผู้มาเยือนอย่างเรา เรียกได้ว่า เห็นแล้วถึงกับใจฝ่อ
เราพยายามมองหาอาหารเช้าที่กินง่ายๆ ประเภท หมูปิ้ง น้ำเต้าหู้ ฯลฯ เพื่อจะชิมอาหารธรรมดาที่ไม่ได้อยู่ในเหลา แต่น่าแปลก ไม่มีขายแม้แต่ร้านเดียว สุดท้ายเราต้องกลับมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม พร้อมเตรียมตัวออกเดินทางท่องเที่ยวสถานที่สำคัญๆ โดยมีไฮไลท์เด็ดๆ อาทิ
ป้อมปราการ PHU AN NAN
หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักในชื่อของ A1 ตั้งอยู่ใจกลางเมือง สูงประมาณ 80 เมตร มีฐานปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน รถถัง M24 และอุโมงค์หลุมหลบภัย บริเวณใกล้เคียงยังมีหลุมระเบิดขนาดใหญ่ ที่เกิดจากการทิ้งระเบิดของเครื่องบินทิ้งระเบิดแห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา เพื่อทำลายฐานที่มั่นของกองกำลังเวียดมินห์
อนุสาวรีย์วีรชน "สู้เพื่อชัยชนะ"
ตั้งอยู่เนินเขากลางใจเมืองเดียนเบียนฟู เช่นกัน ทางเดินชมประกอบด้วยบันไดจำนวน 56 ขั้น ซึ่งเท่ากับจำนวนวันที่กลุ่มปฏิวัติเวียดนามใช้ในการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ
หอพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ "เจียน ทั่ง ลิด ซือ"
หอพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ "เจียน ทั่ง ลิด ซือ" หรือ ชัยชนะแห่งประวัติศาสตร์เดียนเบียนฟู เป็นอนุสาวรีย์ทหารนิรนาม ภายในจัดแสดงเกี่ยวกับอาวุธสงครามของทหารเวียดนาม และฝรั่งเศส เช่น หมวกเหล็กที่มีรอยกระสุนปืนทะลุกลางหมวก รวมถึง อาวุธปืนลูกซอง มีดพร้า ลูกระเบิด ฯลฯ พร้อมรูปปั้นจำลองโฮจิมินห์ และนายพล โบ เหงียน เกี๊ยบ ซึ่งเป็นผู้นำทหารของเวียดนาม ส่วนด้านนอกเป็นที่เก็บรถถัง และปืนใหญ่
ศาลเจ้าหว่างกวงเจิ๊ด
ศาลเจ้าหว่างกวงเจิ๊ด เป็นวัดแห่งเดียวในเมืองนี้ ในอดีตชนเผ่าไทบิงที่เป็นชนพื้นเมือง ได้ร่วมมือกับชนเผ่าไทดำ สร้างป้อมปราการใช้เป็นที่มั่นในการขับไล่ชาวจีนฮ่อที่มารุกรานสมัยสงครามแซง รัฐบาลและประชาชนจึงได้ร่วมกันสร้างอนุสรณ์สถานไว้เป็นที่ระลึก
หมู่บ้านไทดำ หรือชาวลาวโซ่ง
หมู่บ้านไทดำ หรือชาวลาวโซ่ง มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขตสิบสองจุไทเดิม หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำดำ และแม่น้ำแดง ในเวียดนามเหนือ ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม และลาว พวกเขาได้เรียกชนเผ่าที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำว่า ไทดำ เพราะนิยมสวมเสื้อผ้าสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งย้อมด้วยต้นหอม หรือต้นคราม ชาวไทดำยังคงนิยมไว้ผมยาวถึงกลางหลัง บ้านเรือนเป็นแบบชั้นเดียวใต้ถุนสูง มีการเลี้ยงสัตว์อยู่ใต้ถุนบ้าน ชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมทำเกษตรกรรม บรรยากาศเหมือนต่างจังหวัดบ้านเราไม่ผิดเพี้ยน
ชาบูเวียดนาม ที่ร้าน NGOC MAI RESTAURANT
ชาบูสไตล์เวียดนาม มีเครื่องเคียงมากมาย ทั้งกุ้ง ปลา หอย ปลาหมึก เนื้อไก่ (ติดกระดูก) ฯลฯ เจ้าของร้านแนะนำให้ใส่ทุกอย่างลงไปในหม้อให้หมดในครั้งเดียว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินของคนที่นี่ คำถามตามมาว่า จะกินได้หรือ เพราะบางอย่างดูไม่เข้าพวกสักเท่าไร ยังไม่ทันสิ้นสุดความคิด พนักงานที่ร้านเดินมาเทให้เอง ลองชิมรสชาติอาหารดู ก็พอกินได้อยู่ น้ำซุปหวานกำลังดี แต่ต้องช้อนบางอย่างในหม้อออก เพราะทำให้รสชาติอาหารเสีย รวมๆ แล้วถ้าไม่ใส่ไก่ติดกระดูกลงไป ชาบูตรงหน้าจะอร่อยล้ำกว่านี้หลายเท่าตัว
หลังจากตะลุยสถานที่เที่ยวในเมืองแห่งนี้จนหนำใจ ก็ได้เวลากลับโรงแรมเตรียมแพคกระเป๋ากลับเมืองไทย การเดินทางครั้งนี้เป็นประสบการณ์ใหม่ ที่ได้มีโอกาสมาเห็นเมืองประวัติศาสตร์ ซึ่งเชื่อว่าน้อยคนจะตั้งใจมาเที่ยว เพราะเดียนเบียนฟูไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวอย่างทางเหนือของเวียดนาม ที่หลายคนชื่นชอบ รวมทั้งได้มาเห็นวิถีชีวิตและอาหารการกินที่ได้รับความนิยมของคนเวียดนาม และความจริงก็ประจักษ์ตามที่เคยได้ยินมาว่า เวียดนามรับประทานสัตว์สี่ขา วันนี้ได้เห็นด้วยตาตัวเองที่เขาแล่วางขายกันในตลาดสด บอกได้คำเดียวว่า ติดตาไม่รู้ลืม ลาก่อน...เดียนเบียนฟู !!!
ขอขอบคุณ
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กับทริพสุดมัน ซึ่งถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในต่างแดน
เรื่องโดย : ปาร์จารีย์ ทัศนชลีจิระโชติ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92745