รู้ไว้ใช่ว่า
รถจอดไหล่ทาง ! ตาย !
การเท่งทึงของคนเราเกิดขึ้นเสมอ เป็นเหตุส่วนตัวเสียส่วนใหญ่ ที่น่าสังเกต คือ "การตายเชิงสาธารณะ" ซึ่งหมายถึง เหตุที่ทำให้ตาย เกี่ยวข้องกับสาธารณชน เช่น โรคระบาด ก่อการร้าย เหตุจลาจล อุบัติภัยต่างๆ รวมถึงภัยจราจร รัฐที่มีความรับผิดชอบ ต้องใส่ใจแก้ไขปัญหา ให้บรรเทาเบาบางลง
ภัยจราจรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอ คือ รถชนิดต่างๆ ชนท้ายรถพ่วง รถบรรทุก ที่จอดพักอยู่ริมถนน ชีวิตปลิดปลงคราวละหลายๆ คน รวมแล้วไม่รู้เท่าไร เป็นที่น่าอนาถนัก
ท่านลองสังเกตดูเถิดครับ ทางหลวงสายต่างๆ ทั่วประเทศ ผู้รับผิดชอบไม่สนใจทำจุดพักรถ ให้รถบรรทุก รถพ่วง รถใหญ่ หลบไปจอดพัก หรือจอดนอน มีอยู่บ้างก็น้อยนิดเต็มที ตัวอย่างเช่น ถนนเพชรเกษม ที่พาเราล่องใต้ เป็นถนน 4 เลนก็จริง แต่ค่อนข้างแคบ สร้างมานาน ไปดูได้เลย มีรถบรรทุกรถพ่วงจอดพักจอดนอน บนไหล่ทางที่แคบเหมือนกัน เป็นระยะๆ แทบไม่ขาด รถทางตรงที่แล่นไปมาไม่ระวัง หรือมีเหตุเสียการควบคุม เสยท้ายรถเหล่านั้นได้เสมอ
อันที่จริงทางหลวงทุกสาย มีพื้นที่ข้างทางอยู่ในความดูแลครอบครองไม่ใช่น้อย แค่ปรับเสียหน่อย ลาดยาง หรือเทคอนกรีท ก็แล้วแต่ เป็นจุดๆ คะเนให้เหมาะสม พอให้รถใหญ่น้อย หลบเข้าไปจอด ให้ห่างจากผิวจราจรปกติ ไม่ต้องมีสวนหย่อม หรือมีอะไรทั้งนั้น ก็ช่วยสงเคราะห์ประชาชนผู้ใช้ถนน ให้ได้รับความปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่รัฐของเราไม่ว่าสมัยไหน ไม่ทำซะงั้น ใครจะเป็นจะตายช่างหัวมัน ชีวิตคนบ้านเราราคาถูก ไทยแลนด์โอนลีอีกงานหนึ่ง เฮ้อ ตูละหน่าย
ว่ากันถึงคดีความให้ครึกครื้นอย่างเคย
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ "นายกู้ชีพ" ขับรถเก๋ง ซึ่งยืมมาจาก "นางเติมเงิน" ผู้เป็นเจ้าของ แล้วเกิดเหตุร้าย รถกระบะที่ "นายน้ำมัน" เป็นคนขับ ชนรถเก๋งซึ่งแล่นสวนมา ไม่เหลือ ผู้โดยสารในรถเก๋งมีเท่าไรตายหมด นายกู้ชีพ ก็ไม่รอด แต่ นายน้ำมัน รอด
ศาลมีงานทำสิทีนี้ อัยการเชคบิลล์ ฟ้อง นายน้ำมัน เป็นคดีอาญา สู้ถึงฎีกา ศาลตัดสินว่า นายน้ำมัน ขับรถประมาทชัวร์ นายกู้ชีพ มีส่วนประมาทพอกัน
นางเติมเงิน เจ้าของรถเก๋งก็ไม่อยู่เฉย เดี๋ยวเกิน 1 ปีจะขาดอายุความ ยื่นฟ้อง นายน้ำมัน เป็นจำเลย บังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถเก๋งของตน แบบพังเยอะ จนซ่อมแทบไม่ไหว
จำเลย คือ นายน้ำมัน สู้คดี อ้างว่า นายกู้ชีพ ประมาทนะเอ้อ เค้าไม่ได้ประมาท รถของ นางเติมเงิน ก็ไม่เสียหายแยะ ขอให้ยกฟ้อง
ถึงวันนัด คู่กรณีเจอกันในศาลต่อหน้าผู้พิพากษา แล้วทำความตกลงกัน ให้ถือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่ นายน้ำมัน ขับรถประมาท ตามข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้ในคดีอาญา แล้วให้ศาลในคดีนี้พิพากษาตัดสินคดีแพ่งไปได้เลย สำหรับค่าเสียหาย ถ้าศาลให้ นายน้ำมัน แพ้คดี ถือว่า นางเติมเงิน เสียหายครึ่งหนึ่ง ของจำนวนเงินที่ฟ้องมา คู่กรณีของด ไม่สืบพยาน และสละประเด็นข้ออื่นๆ ถ้าจะมี
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นยิ้มออก เพราะไม่เหนื่อย ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง ฟังปากคำพยานของทั้ง 2 ฝ่าย ตัดสินไปเลยว่า นางเติมเงิน เธอเป็นเจ้าของรถเก๋ง คันที่ นายกู้ชีพ ยืมไปขับ รถเสียหายเพราะการชนโดย นางเติมเงิน ไม่ได้มีส่วนประมาทในการชนกันนั้นด้วย เมื่อ นายกู้ชีพ กับนายน้ำมัน ประมาท ทำให้รถของ นางเติมเงิน เสียหาย โดยไม่ใช่ร่วมกันทำประมาท นายกู้ชีพ กับนายน้ำมัน ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ นางเติมเงิน โดยแยกกันชดใช้ มากน้อยตามพฤติการณ์ของความประมาท
นายน้ำมัน ไม่ยอมแพ้ ยื่นฎีกาเพื่อให้ยกฟ้อง อ้างว่างานนี้ต้องเจ๊า เพราะประมาทร่วมกันอย่างเห็นๆ
ศาลฎีกาเหล่ดูสำนวนจนพอใจแล้ว จึงชี้ขาดออกมา
แม้ศาลในคดีอาญาระบุว่า รถชนกันเนื่องจากประมาททั้งคู่ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของ นางเติมเงิน ไม่ปรากฏว่าเธอต้องร่วมรับผิดกับ นายกู้ชีพ ตามกฎหมาย ในผลที่ นายกู้ชีพ ขับรถประมาท อย่างเช่นเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง นางเติมเงิน ในฐานะเจ้าของรถเก๋งคันที่ นายกู้ชีพขับ ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด จากคนขับรถทั้งสอง ที่ทำละเมิดด้วยกัน ศาลย่อมพิพากษาแบ่งให้ นายน้ำมัน คนขับรถกระบะ จ่ายค่าเสียหายแก่ นางเติมเงิน ตามสมควรได้ งานนี้ คือ คนละครึ่งจากจำนวนที่ นางเติมเงิน เรียกร้องและตกลงไว้
ศาลฎีกาจึงยอมเมื่อยขาอีกหนหนึ่ง พิพากษายืน ยกฎีกาของ นายน้ำมัน
เรื่องของเรื่อง นายน้ำมัน แกโมเม จะให้ นางเติมเงิน เจ้าของรถเก๋ง ร่วมรับผิดกับ นายกู้ชีพ คนขับรถเก๋ง ซึ่งประมาทร่วมกันกับ นายน้ำมัน ท่านผู้อ่านคิดเองตามความเป็นจริง ไม่ต้องเรียนกฎหมายหรือหัวหมอ ก็พอจะรู้ว่า นางเติมเงิน เรียกค่าเสียหายจากคนขับรถทั้งสองได้อยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าหล่อนไม่มีส่วนรับผิดใดๆต่อเหตุที่เกิดขึ้น ศาลจึงตัดสินให้ นายน้ำมัน คนขับรถกระบะ จ่ายตามส่วนที่ประมาท ที่เหลือไปเรียกเอาจาก นายกู้ชีพ หรือทายาท เมื่อไม่เรียกไม่ฟ้อง หรือปล่อยให้ขาดอายุความ หมดสิทธิฟ้อง ก็เป็นเรื่องของ นางเติมเงิน นายน้ำมัน จะให้เจ๊าไม่ได้ เข้าใจนะขอรับ
หน่วยงานใดก็แล้วแต่ ที่เห็นแก่ส่วนรวม น่าจะออกมากระตุ้นให้ผู้รับผิดชอบถนนหนทาง ทำที่หลบที่จอดรถข้างทางอย่างที่ผมว่าไว้ในตอนต้น ก็จะได้บุญโข
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1476/2510
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92354