รอบรู้เรื่องรถ
สารพันคำถาม น้ำมันเครื่อง (จบ)
หลังจากที่ทำความเข้าใจกับเจ้าของเหลวมหัศจรรย์ไปบ้างแล้ว ทั้งเรื่องหลักการทำงาน ตัวเลขแปลกๆ ข้างกระป๋อง รวมถึงคำถามที่น่าสนใจ ในฉบับนี้ ผมยังมีคำถามที่คาใจผู้ใช้รถเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันเครื่องอยู่อีกนิดหน่อย ไปหาคำตอบพร้อมกันครับ
ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนดไว้ในคู่มือ หรือเปลี่ยนก่อนครบกำหนดพอดี ?
เปลี่ยนตามระยะที่กำหนดไว้ในคู่มือก็ดีเพียงพอแล้วครับ เพราะทางโรงงานรถยนต์เขาคำนึงถึงสภาพที่เลวร้ายของการใช้งานเอาไว้แล้ว แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าการใช้งานของเรามันหนักหนาสาหัสต่อเครื่องยนต์เกินไป เช่น ใช้ระยะทางเพียง 3 กม. ก็ถึงที่หมาย และหนำซ้ำยังขยับได้เพียงเกียร์ 1 และเกียร์ 2 เท่านั้นในช่วงเช้า รวมถึงช่วงเย็นด้วย ถ้าคุณผู้อ่านใช้งานแบบนี้อยู่ ก็ลดระยะทางลงสักครึ่งหนึ่งก็จะดี เช่น จาก 12,000 กม. เหลือประมาณ ทุกๆ 6,000 กม. ถ้าไม่หนักหนาสาหัสมากเท่านี้ก็อาจจะลดลงเหลือประมาณ 3 ใน 4 คือประมาณ 9,000 กม. หรืออาจจะอยู่ระหว่างนี้ครับ ตามความเหมาะสม และดุลยพินิจของแต่ละคนครับ
ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกกี่กิโลเมตร ?
คำถามนี้นับเป็นปัญหาที่คาใจผู้ใช้รถมาทุกยุคทุกสมัย สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการถนอมรถ แต่ต้องการทำทุกสิ่งที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่เรื่องยากครับ เพียงแค่ปฏิบัติตามคำแนะนำที่กำหนดไว้ในคู่มือประจำรถก็อาจเพียงพอ ที่ว่าอาจเพียงพอก็เพราะว่า บางครั้งผู้ใช้รถอาจพบข้อความประเภทนี้พ่วงอยู่กับกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องด้วย "กรณีที่ใช้งานหนักเกินสภาพปกติ ให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยกว่านี้" ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วจะทราบได้อย่างไร ว่าควรร่นระยะทางที่ใช้น้ำมันเครื่องลงแค่ไหน? ไม่มีใครทราบหรอกครับ ! ช่างบ้านเราก็ไม่ทราบ แม้ช่างเมืองนอกก็ไม่ทราบ จะมีผู้ทราบก็แต่ระดับวิศวกรทดสอบเครื่องยนต์ในโรงงานผลิตรถยนต์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีเครื่องมือตรวจสอบอันทันสมัยเท่านั้น เพราะเขาต้องทำการวิเคราะห์น้ำมันเครื่อง หลังการทดสอบใช้งานเครื่องยนต์ในสภาวะต่างๆ แล้วเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้
ผมขอยกตัวอย่างโรงงาน เมร์เซเดส-เบนซ์ แห่งหนึ่ง เขาต้องการหาจุดเหมาะสมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างผู้ผลิต และผู้ใช้รถให้พบ เนื่องจากผู้ผลิตต้องการลดภาระของผู้ใช้รถในการนำรถเข้าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้น้อยที่สุด เพื่อให้ถูกใจผู้ซื้อ และใช้เป็นจุดล่อใจลูกค้าด้วย ในด้านผู้ใช้รถก็ต้องการให้เครื่องยนต์ทนทาน และสึกหรอน้อยที่สุดเช่นกัน
การทดสอบอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องในสภาพการใช้งานต่างๆ จึงเกิดขึ้น ผลปรากฏว่า ในสภาวะที่หนักสุด (สำหรับน้ำมันเครื่องเท่านั้นนะครับ คนละเรื่องกับสภาวะหนักสุดของเครื่องยนต์) คือ การใช้งานในเมืองที่การจราจรติดขัด และใช้งานระยะสั้น แถมมีการจอดจนเครื่องเย็น แล้วติดเครื่องยนต์ใหม่สลับกันไปด้วย แบบนี้อายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องจะอยู่ที่ประมาณ 7,500 กม.
ส่วนในสภาวะที่ดี หรือเบาที่สุด ใกล้เคียงกับสภาวะในอุดมคติ คือ การขับอย่างสบายๆ ในถนนนอกเมืองครับ ด้วยความเร็วประมาณ 100-110 กม./ชม. มีการลดความเร็วลงมาแถวๆ 60-70 กม./ชม. บ้างเป็นครั้งคราว แบบนี้น้ำมันเครื่องจะมีอายุการใช้งานยืนยาวถึง 30,000 กม. หรือเมื่อใช้งานแต่บนไฮเวย์ ด้วยความเร็วประมาณ 140-150 กม./ชม. คงที่ น้ำมันเครื่องก็จะรับภาระน้อยที่สุด คือ มีอายุการใช้งานประมาณ 30,000 กม. ด้วยเช่นกัน
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพหรือยัง ? สิ่งสำคัญที่สุดในความเห็นของวิศวกรโรงงาน เมร์เซเดส-เบนซ์ คือ ปริมาณผงเหล็กที่ปนอยู่ในน้ำมันเครื่องจากการสึกหรอของเครื่องยนต์ กับอายุการใช้งานจริงของมัน ที่นับกันเป็นเวลาครับ คือ ไม่ควรเกิน 1 ปี ขึ้นอยู่กับว่า อย่างไหนจะถึงกำหนดก่อนกัน
เมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว ทางโรงงานจึงพัฒนาเซนเซอร์วัดปริมาณผงเขม่าเหล็ก และน้ำที่ผสมอยู่ในน้ำมันเครื่อง เพื่อจะได้ช่วยเตือนผู้ใช้รถว่า ถึงกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่แท้จริงแล้ว
ผู้ที่เข้าใจว่า การปฏิบัติตามคู่มือประจำรถนั้น จะให้ผลดีที่สุดต่อรถของเรา คงเห็นได้ชัดจากเรื่องนี้นะครับ ว่าบางทีก็อาจไม่จริงเสมอไป
ระดับคุณภาพของน้ำมันเครื่อง กับระบบเครื่องยนต์เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?
ผมไปใช้บริการของสถานบริการฟาสต์เซอร์วิศแห่งหนึ่ง เหลือบไปเห็นแผ่นโฆษณาน้ำมันเครื่องเก่าแก่บแรนด์หนึ่ง มีตารางบอกชนิดน้ำมันเครื่องของยี่ห้อนี้อยู่ 4 ชนิด หรือจะเรียกว่า 4 ระดับก็คงได้ เรียงเป็นแถวอยู่
ในแนวนอน ส่วนแนวตั้งเป็นประเภทของเครื่องยนต์เบนซิน มี 7 ชนิด คือ รถแข่ง, รถที่ปรับแต่งเครื่องยนต์, ระบบมัลทิวาล์ว, ระบบหัวฉีด, เทอร์โบชาร์เจอร์, รถติดเครื่องแปรสภาพไอเสีย และเครื่องยนต์เบนซิน
ในช่องที่ตัดกันระหว่างประเภทของเครื่องยนต์ และชนิดของน้ำมันเครื่อง จะมีจุดบอกความเหมาะสมให้ คือ ถ้าถูกปล่อยว่างไว้ แสดงว่าไม่เหมาะที่จะใช้ ผมใช้เวลาพิจารณาดูแล้วรู้สึกงง 2 บรรทัดบน คือ รถแข่ง และรถที่ปรับแต่งเครื่องยนต์ มีจุดอยู่ที่น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ระดับสูงสุด ก็นับว่าเข้าใจได้ ไม่ขัดความรู้สึก
ถัดมาอีก 2 บรรทัด คือ เครื่องยนต์มัลทิวาล์ว และเครื่องยนต์หัวฉีด แนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องระดับสูงสุด และลำดับรองลงมาเท่านั้น รู้สึกแอบข้องใจว่าระบบมัลทิวาล์วมันทำให้น้ำมันเครื่องต้องแบกภาระหนักกว่าระบบสูบละ 2 วาล์วอย่างไร ไม่หนักกว่าแน่ครับ ไม่ว่าจะใช้แบบกระเดื่องควบคุมวาล์ว หรือจะใช้ลูกเบี้ยวกดถ้วยก็ไม่หนักไปกว่าระบบสูบละ 2 วาล์ว แบบดังเดิม ตามทฤษฎีแล้วแรงต่างๆ ที่เกิดแก่ระบบมัลทิวาล์วจะลดน้อยกว่าแบบ 2 วาล์ว ด้วยซ้ำไป
ในบรรทัดถัดไป คือ เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์เจอร์ ข้อนี้งงหนักเข้าไปอีก เพราะแนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพต่ำลงอีกระดับได้ ในขณะที่ไม่แนะนำให้ใช้กับระบบมัลทิวาล์ว และระบบหัวฉีด เช่นเดียวกับรถติดเครื่องยนต์แปรสภาพไอเสีย ก็แนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องระดับที่ 3 ได้
ปกติแล้วเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์เจอร์ต้องใช้น้ำมันเครื่องระดับที่สูงพอ เพราะขณะทำงานที่รอบสูง ตัวเทอร์โบชาร์เจอร์จะร้อนจัดมาก ถ้าเป็นเวลากลางคืนจะเห็นเป็นสีแดงเรื่อๆ คล้ายถ่านที่ติดไฟ น้ำมันเครื่องที่มาหล่อลื่นแกนของกังหัน จึงต้องรับความร้อนสูงมากเช่นกัน
ในบรรทัดสุดท้าย คือ เครื่องยนต์เบนซินธรรมดา ซึ่งหมายความว่า อาจเป็นเครื่องรุ่นเก่าแบบคาร์บูเรเตอร์ที่มีแค่ 2 วาล์ว/สูบ ก็เป็นได้ ผมนึกในใจว่าต้องแนะนำให้ใช้ในระดับต่ำสุดเท่านั้น ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น แต่จุดที่แนะนำกลับมีจุดอยู่ทุกช่อง หมายความว่า สามารถใช้ได้ทุกระดับ จนถึงระดับสูงสุด ซึ่งก็คือ น้ำมันสังเคราะห์แท้ที่เหมาะแก่การแข่งรถด้วย แน่นอนครับว่าย่อมต้องใช้ได้ ถ้าไม่เสียดายเงินที่หามาอย่างยากเย็น ผมว่ามันบอกความจริงใจ และหวังดีต่อลูกค้าด้วยว่าอยู่ระดับไหน
ดังนั้น ระดับคุณภาพของน้ำมันเครื่อง กับระบบเครื่องยนต์จึงเกี่ยวข้องกันโดยตรง เราต้องพิจารณาความเหมาะสมของรถเราก่อน ที่ง่ายและน่าเชื่อถือที่สุด คือ ดูจากคู่มือประจำรถ ซึ่งจะกำหนดระดับน้ำมันเครื่องที่สามารถใช้ได้มาให้เสร็จสรรพ
ทำไมจึงต้องเพิ่มปริมาณน้ำมันเครื่อง ?
ผู้อ่านที่ใช้รถมาแล้วกว่า 20 ปีคงเข้าใจดี โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเปลี่ยนรถใหม่อยู่เป็นประจำ และนิยมใช้รถจากประเทศยุโรป คงจะเคยสังเกตปริมาณน้ำมันเครื่องที่ต้องเติมเมื่อเปลี่ยนถ่าย ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกที เช่น เครื่องยนต์ขนาด 2,000 ซีซี จะใช้ประมาณ 4 ลิตร แต่มาระยะหลังจนถึงปัจจุบัน โรงงานจะกำหนดให้ใช้ปริมาตรเพิ่มขึ้นเป็น 5 หรือ 6 บางรุ่นอาจถึง 7 ลิตร กับเครื่องยนต์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเคยมีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ใหม่ในรถใหม่ ทั้งๆ ที่ก็ใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงด้วย นั่นคือ น้ำมันเครื่องจะกลายสภาพเป็นตะกอนข้นดำ ดุจโคลน เรียกกันว่า บแลคสลัดจ์ (BLACK SLUDGE) ไปอุดตันตั้งแต่ต้นทางที่จะเข้าสู่ปั๊มน้ำมันเครื่อง มันเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนเจ้าของรถ วันดีคืนดีเมื่อความข้นได้ที่จนเกิดการอุดตัน ชิ้นส่วนที่ต้องการน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นตลอดเวลาก็จะขาดสารหล่อลื่น จนทำให้พังไปในเวลาไม่กี่นาที
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเฉพาะในประเทศอุตสาหกรรมที่เจริญแล้ว และเกิดกับรถใหม่ทันสมัยรุ่นล่าสุด ซึ่งล้วนแต่ใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงด้วยกันทั้งนั้น
จากการวิเคราะห์สาเหตุพบว่า มีตัวการหลายรายด้วยกัน คือ จากเชื้อเพลิงยุคใหม่ที่ใช้สารเคมีต่างไปจากเดิมมาก จากเครื่องยนต์ยุคใหม่ซึ่งใช้ส่วนผสมไอดีที่เจือจางลง (เน้นความประหยัดเชื้อเพลิง) มากได้ เพราะใช้ระบบอีเลคทรอนิคส์ควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิง และการที่โรงงานรถยนต์พยายามลดปริมาณน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ลง จนน้ำมันเครื่องต้องรับภาระหนักสุดขีด
จะว่าไปแล้ว น้ำมันเครื่องไม่น่าผิดนะครับ แต่ยังไงเสีย ผู้ผลิตน้ำมันเครื่องก็ต้องดัดแปลงสูตรกันขนานใหญ่ จนสามารถต่อกรกับปัญหา "บแลคสลัดจ์" ได้ ในเมื่อน้ำมันเครื่องยังปรับปรุงให้สามารถต่อกรได้ โรงงานรถยนต์ก็เลยต้องปรับปรุงบ้าง เพราะถ้าเกิดพลาดท่าเสียทีขึ้นมา อาจโดนฟ้องย่อยยับ ทางออกที่ง่ายที่สุดก็คือ การลดภาระของน้ำมันเครื่องโดยการเพิ่มปริมาตรเข้าไป เท่านั้นเองครับ
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92069