ชีวิตอิสระ(4wheels)
ขับ ฮอนดา ซีอาร์-วี เยือนสวิทฯ แห่งแดนใต้
ผมมีโอกาสล่องใต้แดนสะตอ สำรวจที่เที่ยวสไตล์ขาลุย แต่ทริพนี้ไม่เน้นลุยหนักครับ เพราะพาหนะประจำทริพ คือ ฮอนดา ซีอาร์-วี 2.4 อีแอล โดยมีพี่ๆ กลุ่มเวียงสระออฟโรด จัดเส้นทางตามคำขอ มาชมกันครับว่า ฮอนดา ซีอาร์-วี จะพาทัวร์ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ผมเดินทางจากกรุงเทพ ฯ-สุราษฎร์ธานี บนระยะทางเกือบ 900 กม. ด้วยระยะเวลาประมาณ 10 ชม. โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถ. เพชรเกษม) ถึง จ. ชุมพร แล้วต่อด้วยเส้นทางหลวงหมายเลข 41 ผ่าน อ. หลังสวน จ. ชุมพร เข้าสู่ อ. ไชยา ก่อนจะเลี้ยวขวาไปยัง อ. เวียงสระ เพื่อทดสอบสมรรถนะระบบขับเคลื่อนแบบเรียลไทม์ในการลุยป่า และหาที่เที่ยว โดยมีรถโฟร์วีลดไรฟของกลุ่มเวียงสระออฟโรด คอยช่วยเหลือและประคับประคองตลอดการเดินทาง
ต้องขอขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่นำรถ ฮอนดา ซีอาร์-วี ขนาด 2.4 ลิตร มาให้ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง และพี่ๆ กลุ่มเวียงสระออฟโรด ที่ช่วยเหลือและสานต่อการเดินทางครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ทางเรียบ และลูกรัง
สบายๆ กับ ฮอนดา ซีอาร์-วี
คณะเดินทางของเราประกอบด้วยรถลุย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถกระบะ และเอสยูวี ที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบพาร์ทไทม์ จะมีก็แต่ ฮอนดา ซีอาร์-วี ที่ผมนำไปใช้เป็นพาหนะ ซึ่งต้องมีพี่เลี้ยงคอยประกบตลอดเส้นทาง เนื่องจากขีดจำกัดของระบบขับเคลื่อนที่ไม่สามารถใช้งานสมบุกสมบันมากนัก
อ. เวียงสระ เป็นรอยต่อของ จ. สุราษฎร์ธานี กับนครศรีธรรมราช รถยนต์ที่สัญจรจึงไม่พลุกพล่านสักเท่าไร เส้นทางในช่วงแรกจะมีทั้งลาดยางพร้อมโค้งหักศอก ลัดเลาะเนินเขาซึ่งมีความลาดชัน ฮอนดา ซีอาร์-วี ที่ผมได้นำไปถือว่าผ่านฉลุย แรงบิดที่ส่งมาจากเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร สามารถไต่ทะยานขึ้นเนินชันได้ไม่ยาก ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบฟูลล์ไทม์ ทำให้เกาะถนนหนึบ เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ก่อนจะจอดรอชาวคณะที่ร่วมสมทบอีกเกือบ 10 คัน บริเวณทางขึ้นเขาปลายแพง
ลุยเขาปลายแพง
ระบบขับ 4 แบบฟูลล์ไทม์...เอาไม่อยู่
ล้อเริ่มหมุนอีกครั้ง ขบวนรถเริ่มยาวขึ้น ตอนนี้มีผู้มาสมทบ ซึ่งทำให้มีรถเข้าร่วมการเดินทางเกือบ 20 คัน จากการสังเกต 2 ข้างทาง ไม่ค่อยได้เห็นรถเก๋งสักเท่าไรนัก จะมีก็แต่รถกระบะขับ 4 ที่เอาไว้บรรทุกผลผลิตทางการเกษตร
เส้นทางข้างหน้าเป็นการลุยล้วนๆ ไม่มีลาดยาง และเทปูนให้ขับขี่กันได้สะดวก จุดสุดท้ายที่ทำให้ผมต้องจอดรถแล้วกระโดดขึ้นหลังกระบะตรงทางขึ้นเขาปลายแพงนั่นเอง
จุดชมวิวเขาปลายแพง
ต้องลุยหนัก เพื่อความงามบนยอดเขา
ระยะทางขับสู่ยอดเขาปลายแพง เหลือไม่ถึง 1 กม. ก็จริงอยู่ แต่สภาพเส้นทางทั้งโหด ลื่น และชันมาก ถ้าเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบพาร์ทไทม์ ถือว่าไม่ยากเย็น
รถเกือบ 20 คันขึ้นมาถึงยอดเขาปลายแพงทั้งหมด บรรยากาศด้านบนมีลมพัดโชยตลอดเวลา และสามารถมองวิวทิวทัศน์ได้โดยรอบ ในอดีตเขาลูกนี้เคยเป็นที่พักของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ต่อมาได้มีการกวาดล้างอย่างจริงจังจากภาครัฐ ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นได้ถอยหนีเข้าป่าลึก และหายไปจากพื้นที่
ฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว พวกเราใช้เวลาดื่มด่ำบรรยากาศกันอีกสักพักใหญ่ ลมโชยเย็นๆ เริ่มกรรโชกแรงขึ้น ขบวนรถเริ่มทยอยลงจากเขามาทีละคัน จนครบทั้งคณะ ผมกลับมาขับ ฮอนดา ซีอาร์-วี อีกครั้ง เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางของวันนี้ นั่นคือ "เขื่อนกะทูน" ซึ่งอยู่ในเขตรอยต่อของ อ. เวียงสระ จ. สุราษฎร์ธานี กับ อ. พิปูน จ. นครศรีธรรมราช
โลดแล่นต่อบนทางดำ
เพื่อไปยังเขื่อนกะทูน
ผมขับ ฮอนดา ซีอาร์-วี ลงมาจากเขาปลายแพง เพื่อไปยังเขื่อนกะทูน ระยะทางที่เหลืออีกประมาณ 20 กม. บนเส้นทางลาดยาง ช่วงนี้ถือว่าคลายความกดดันไปมาก ทางโค้ง ทางลาดชัน ถ้าสภาพผิวถนนเป็นทางลาดยาง สมรรถนะเรื่องการยึดเกาะถนน ถือว่าโดดเด่น และขับสบายๆ
ระหว่างทางได้แวะไปยังไร่ทุเรียนของเพื่อนสมาชิกกลุ่มเวียงสระออฟโรด ผมได้เห็นทุเรียนกว่า 40 ไร่ ที่ปลูกบนเนินเขา ตอนแรกประเมินราคาไว้เพียงไร่ละ 100,000 บาท ด้วยความไม่ประสีประสา แต่ความจริงแล้ว จะได้ผลผลิตที่ไร่ละ 1,000,000 บาท เสียดายทุเรียนที่ออกผลมายังไม่โตพอที่จะรับประทานได้ ไม่งั้นคงอิ่มจนพุงกาง หรือไม่ก็คงต้องกลับมารักษาโรคร้อนในต่อก็เป็นได้
ปลายทาง...เขื่อนกะทูน
สวิทเซอร์แลนด์แดนใต้
จากที่หวังจะได้กินทุเรียนแบบเกาะติดริมสวน ก็ได้แต่ขุดแห้วกินไปพลางๆ ขบวนรถเริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง ไม่นานนักก็มาถึงเขื่อนกะทูน ที่นี่มีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา แถมยังมีเรื่องให้ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน ในอดีต กะทูน เคยเป็นหมู่บ้านใหญ่ มีผู้คนอาศัยเกือบ 1,000 คน สภาพพื้นที่โดยรอบเปรียบเหมือนแอ่งกระทะ มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ถึง 12,500 ไร่
เมื่อปี 2531 ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้น้ำป่าไหลเข้าท่วมพื้นที่อย่างรวดเร็วในเวลากลางคืน จนทำให้มีผู้คนกว่า 300 ชีวิต และสัตว์เลี้ยงอีกมากมาย ถูกฝังตายทั้งเป็นอยู่ในบ้านเรือนที่ถูกกระแสน้ำและโคลนถล่มด้วยเวลาไม่นานนัก ร่องรอยของหมู่บ้านที่รุ่งเรืองยังคงมีให้เห็นอยู่ทั่ว อาทิ ถนนที่วิ่งผ่านหมู่บ้าน ซึ่งเป็นทางขาด ไร้รอยต่อ ปล่องเมรุ ที่โผล่เหนือน้ำ และซากปรักหักพังของบ้านเรือนที่อยู่ใต้น้ำ เสมือนเป็นเมืองบาดาลที่มีมลทิน โดยธรรมชาติเป็นผู้ลงโทษ
ปัจจุบัน เขื่อนกะทูนถูกเปรียบให้เป็นสวิทเซอร์แลนด์แห่งแดนใต้ เพราะความงดงามของธรรมชาติยังคงปรากฏให้เห็น ทั้งพระอาทิตย์ตกดิน และหมอกยามเช้า ซึ่งสวยงามไม่แพ้ที่อื่น รอบๆ เขื่อนยังมีที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมทางน้ำอีกหลายประเภท ไว้คอยบริการผู้มาเยือน
ทริพนี้เป็นการเดินทางเยือนใต้ที่ได้อรรถรสในการเดินทางมากมาย ทั้งเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามไม่แพ้ภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ รวมถึงการทดสอบสมรรถนะของระบบขับเคลื่อนแบบเรียลไทม์ใน ฮอนดา ซีอาร์-วี ที่แม้ว่าจะไม่ได้จัดหนักอย่างหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่ก็ทำให้รู้ถึงศักยภาพของระบบขับเคลื่อน ว่าเหมาะสมกับสภาพทางแบบไหน
"ชีวิตอิสระ" ฉบับต่อไป จะเป็นเรื่องกิจกรรมของคนพันธุ์อึด ในชื่องาน "ล้านนา แอดเวนเจอร์ 2013" รับประกันว่าสนุกแน่นอนครับ !!!
[table]
ที่กิน+ที่พัก
บินหลา
อาหารปักษ์ใต้รสจัดจ้าน
ล่องใต้ทั้งที ถ้าไม่มีอาหารปักษ์ใต้มาแนะนำถือว่าไปไม่ถึงถิ่น ร้านนี้มีชื่อว่า บินหลา อยู่ห่างจากแยกเวียงสระ ไม่เกิน 50 ม. อาหารแนะนำ ได้แก่ แกงหมกลูกปลา ส่วนประกอบมีเพียง ลูกปลา+พริกแกง รสชาติจัดจ้าน แสบทรวง ทำให้เหงื่อทะลุออกจากรูขุมขนได้ทุกอณู เมนูแนะนำอื่นๆ ได้แก่ ต้มไก่ใส่ขมิ้น ไก่บ้านผัดสะตอ และคั่วกลิ้ง แถมน้ำพริกกะปิพร้อมผักอีกหลายชนิด
ที่พัก
โรงแรมอัญชลี
โอ่โถง กว้างขวาง
โรงแรมอัญชลี เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว ซึ่งใหญ่สุดใน อ. เวียงสระ ความโดดเด่นนั้น นอกจากราคาค่าบริการในหลักร้อยบาท ห้องพักที่นี่ยังกว้างขวางเป็นพิเศษ สามารถนอนรวมได้มากกว่า 4 ท่านแบบไม่เบียดเสียด มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งระบบ WI-FI เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ซึ่งเย็นฉ่ำทั่วห้อง
[/table]
เรื่องโดย : ณัฐเทพ เผ่าจินดา
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/91878