มาตรวัดตลาดรถ
ความต้องการเริ่มจะลด
ผลพวงจากการที่ค่ายรถยนต์เร่งการผลิต เพื่อให้สามารถส่งมอบรถยนต์ที่ค้างจองกันมาตั้งแต่ปลายปีก่อน ทำให้ผู้ที่จองกันมานาน เริ่มทยอยได้รับรถกันจำนวนมาก ยังคงเหลือเพียงบางยี่ห้อเท่านั้น ที่อาจจะต้องจองกันข้ามปี เพราะเพิ่งจะเริ่มขยายโรงงานใหม่ นั่นก็ต้องทำใจไปก็แล้วกัน
เพียงพฤษภาคม เดือนเดียว ขายลดลงไป 3.7 % จำนวน 110,423 คัน แต่เมื่อรวม 5 เดือน ยอดเพิ่ม 31.3 % รวม 627,795 คัน และจะเริ่มแสดงสภาพความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค ที่คลาดเคลื่อนกันมาจากเงินคืนภาษีรถคันแรก ว่ามีความต้องการแท้จริงอย่างไร
ตัวเลขที่งามหรูในช่วง 5 เดือนแรก ก็จะเริ่มสู่สภาพความเป็นจริง หลังจากค่ายรถยนต์เร่งสายการผลิตเพื่อส่งมอบรถที่ยังค้างจองไปเกือบหมดแล้ว ทีนี้ก็จะมาถึงของจริงกันเสียที
แต่สิ่งที่น่าสังเกตในห้วงครึ่งปีแรกนี้ แม้ว่านักการตลาดจะไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องสภาพตลาด เพราะไม่มีปัจจัยอะไรมากระทบกระเทือน แต่จับสังเกตได้ว่า แต่ละค่ายต่างพากันโหมกระหน่ำแคมเปญกันยกใหญ่ เพื่อเป็นการสกัดดาวรุ่งทางหนึ่ง และอีกทางหนึ่ง เพื่อเร่งรถที่อยู่ในสตอคออกสู่ตลาดให้มากที่สุด
ปีนี้ยังน่าเชื่อว่าแคมเปญจะกระหน่ำกันทั้งปี ทุกค่าย บางค่ายก็ทำกันเงียบๆ บางค่ายก็กระโตกกระตาก ออกโฆษณากันยกใหญ่ แม้แต่ค่ายที่มียอดจองค้างปี ก็ยังมีแคมเปญของโชว์รูม เพื่อระบายรถที่ลูกค้าไม่ค่อยให้ความสนใจ อย่างลูกค้าต้องการเกียร์อัตโนมัติ แต่โชว์รูมมีรถเกียร์ธรรมดา ก็ต้องมีรายการแถมเพิ่มเติม เพื่อเรียกร้องความสนใจ ประมาณนี้
นั่นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริโภค แต่ให้จับตามองในห้วงปีหน้า ที่บรรดาค่ายรถยนต์ต่างๆ เร่งสร้างโรงงานกันมากมาย หลากหลายยี่ห้อ ทั้งยักษ์ใหญ่ ยักษ์เล็ก ยอดรวมของปริมาณการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ ทุกค่าย ก็เกินยอดขายประจำปีไปเกือบ 3 เท่า โดยต่างก็พากันบอกว่าสร้างเพื่อผลิตส่งขายต่างประเทศ ขายในประเทศเป็นส่วนน้อย
แต่ดูจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ที่ค่อนข้างซบเซา ลุ้นการลดดอกเบี้ยของ เฟด ในสหรัฐ ฯ อาการซวดเซของยุโรปตะวันออก ภาวะตึงเครียดของเงินสกุลยูโร สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ทุกอย่างที่กล่าวมา เป็นเหตุให้มากระทบกับการผลิตที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเราทั้งนั้น
แต่ก็เชื่อว่า น่าจะกระทบไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค อย่างที่สภาพตลาดกำลังเกิดขึ้นตอนนี้
ก็คือเร่งระบายสตอครถของตัวออกให้มากที่สุดนั่นเอง
มาดูเรื่องอื่นบ้าง
เรื่องนี้ขอบันทึกเอาไว้ สำหรับผู้ที่ประสบเหตุจากน้ำท่วมใหญ่ ถ้าท่านได้รับเงินจากการซื้อรถยนต์ใหม่ เพื่อทดแทนรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม หลวงท่านกำลังร่างกฎกระทรวง เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจะให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 อย่าลืมเตรียมเอกสารข้อมูลหรือภาพถ่าย เอาไว้ประกอบในการยื่นคำร้องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็แล้วกัน
หนนี้มีเรื่องแถมมาจากโลกไซเบอร์ เป็นความเห็นของอดีตรัฐมนตรีการคลัง ลองอ่านดูว่าเป็นไง
ผมเห็นบทสัมภาษณ์ของนายธนาคารคนหนึ่งที่เล่าให้ฟังว่า ลูกค้าที่มีเงินเดือนระดับ 2 หมื่นบาทเป็นกลุ่มที่ถูกปฏิเสธการกู้ซื้อบ้านมากที่สุด และกลุ่มที่ต้องการมีบ้านหลังแรกจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ไปซื้อรถในโครงการรถคันแรก ปกติธนาคารจะไม่ต้องการให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เกินกว่า 40 % ของรายได้ ดังนั้นถ้าซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท ก็จะมีอัตราผ่อนอยู่ที่ประมาณ 8,000บาท ซึ่งก็เท่ากับ 40 % ของ 2 หมื่นบาท ถ้าลูกค้าคนไหนไปกู้ซื้อรถคันแรกมา ก็จะหมดสิทธิ์ในการกู้ซื้อบ้านทันที
ทำให้ผมนึกถึงแนวการแก้ต่างโดยรัฐบาลให้กับนโยบายรถคันแรกว่า เป็นการช่วยให้คนมีรายได้น้อยได้ซื้อรถ มาถึงวันนี้ทุกคนชี้นิ้วไปที่โครงการนี้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หนี้สินประชาชนสูงขึ้น กำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 2 หมื่นบาท วันนี้พวกเขาที่ต้องการจะซื้อบ้านเพื่อเพิ่มความมั่นคงในชีวิตให้ตนเองและครอบครัวก็ไม่สามารถซื้อได้
ลองมองคนละมุมกันบ้างก็ดีนะครับ
สรุปตัวเลขของมาตรวัดเดือนนี้ เพียงพฤษภาคม เดือนเดียว ขายลดลง 3.7 % จำนวน 110,423 คัน แต่เมื่อรวมกันทั้ง 5 เดือน ยอดยังเพิ่มอยู่ 31.3 % รวม 627,795 คัน ทำให้นักการตลาดยังยิ้มหวานกันอยู่ เพราะถ้าไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน เท่ากับว่าปี 2556 นี้ ยอดขายรถยนต์จะเกิน 1ล้านคันแน่นอน จะเกินเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์บ้านเมือง เป็นสำคัญ
พอมาไล่เลียงตามยี่ห้อ อันดับหนึ่ง ขายได้มากที่สุด โตโยต้า ขาย 38,024 คัน ลดลง 13.0 % ส่วนแบ่งตลาด 34.4 % อันดับสอง ฮอนดา ขาย 21,709 คัน เพิ่มขึ้น 39.2 % ส่วนแบ่ง 19.7 % อันดับสาม อีซูซุ ขาย 18,647 คัน เพิ่มขึ้น 10.6 % ส่วนแบ่ง 16.9 % อันดับสี่ มิตซูบิชิ ขาย 7,416 คัน ลดลง 12.6 % ส่วนแบ่ง 6.7 % อันดับห้า เชฟโรเลต์ ขาย 4,752 คัน ลดลง 20.0 % ส่วนแบ่ง 4.3 %
แบ่งออกเป็นประเภทรถยนต์นั่ง ยอดรวมเดือนเดียวขายกันลดลง 5.8 % ขายได้ 49,010 คัน โดยยอดรวม 5 เดือน ขาย 285,705 คัน ยังเพิ่มอยู่ 56.4 %
แชมพ์ประจำเดือน ยังนำอยู่ในปีนี้ ฮอนดา ขาย 18,634 คัน เพิ่มขึ้น 35.0 % ส่วนแบ่ง 38.0 % ที่สอง โตโยตา อดีตแชมพ์ ขาย 15,442 คัน ลดลง 15.8 % ส่วนแบ่ง 31.5 % ที่สาม นิสสัน ขายได้ 3,381 คัน ลดลง 63.5 % ส่วนแบ่ง 6.9 %, ที่สี่ ซูซูกิ ขาย 3,336 คัน เพิ่มเยอะ 175.0 % ส่วนแบ่ง 6.8 % และที่ห้า มิตซูบิชิ ขาย 2,828 คัน เพิ่มขึ้น 29.3 % ส่วนแบ่ง 5.8 %
ผู้เสียภาษียอดเยี่ยม ลัมโบร์กินี ขาย 2 คัน และ แฟร์รารี ขาย 1 คัน
ในระดับรถขนาดเล็ก ซึ่งรวมเอาอีโคคาร์เข้าไปด้วย ขายมากสุด ฮอนดา 13,960 คัน
รถเพื่อการพาณิชย์ ยอดรวมเดือนเดียว เพิ่มเยอะสุด 44.4 % ขายได้ 4,140 คัน โดยยอดรวม 5 เดือน ขายเพิ่มอยู่ 45.3 % รวม 19.807 คัน มีแชมพ์ในรุ่น อีซูซุ ขาย 2,284 คัน เพิ่มขึ้น 52.5 % ส่วนแบ่ง 55.2 % ที่สอง ฮีโน ขาย 1,700 คัน เพิ่ม 38.4 % ส่วนแบ่ง 41.4 % และที่สาม มิตซูบิชิ ขาย 153 คัน เพิ่ม 47.1 % ส่วนแบ่ง 3.7 %
รถอเนกประสงค์อื่นๆ ขายลดลง 22.2 % ขายได้เพียง 1,735 คัน รวม 5 เดือน ขายลดลง 4.9 % รวม 10,355 คัน มี รถตู้ โตโยตา ขายมากสุด 1,346 คัน ลดลง 23.6 % ครองส่วนแบ่ง 77.6 % มี ฮันเด ตามมาห่างๆ 229 คัน
นั่นคือสภาพของตลาด ที่ค่อนข้างให้ประโยชน์แก่ผู้บริโภคมากที่สุด เพราะแต่ละค่าย มีของแถมกันมากมาย เหมือนที่เคยพูดเอาไว้ว่าซื้อรถเดี๋ยวนี้ ได้ประกันภัยชั้น 1 ฟรี 1 ปี เป็นอุปกรณ์มาตรฐานประจำรถกันแล้ว
ใครซื้อรถแล้วไม่ได้ประกันภัย โวยวายได้เลยนะครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/91752