ร่มไม้ชายศาล
สัตว์เดนนรก
นิตยสาร ฟอร์มูลา มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้บริโภครถยนต์โดยตรง เรื่องราวอันพึงรู้ เพื่อคุ้มครองผู้อ่านและประชาชน สมควรต้องนำเสนอ ใช่ไหมครับ
การที่มีคนจำนวนหนึ่งในบ้านเรา ทำตัวเลวยิ่งกว่า "สัตว์นรก" ซึ่งต่างจากสัตว์อื่นๆ ทุกชนิดที่มีบนโลกใบนี้ หากมันดุร้าย ทั้งหมดล้วนเลือกฆ่าสิ่งที่จำเป็น เพื่อกินเป็นอาหาร แต่สัตว์เดนนรกในร่างคน มันจงใจไตร่ตรองไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อนมนุษย์ไม่ว่าหญิงหรือชาย ที่มันล่อหลอกให้ติดกับนำรถมาขายให้ มันลงมือฆ่าอย่างเลือดเย็นทันที ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีเรื่องเคืองแค้นกันมา ฆ่าเสร็จเอาศพไปฝังไปซ่อนเร้น ญาติผู้ตายได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจแสนสาหัส ไม่รู้ชะตากรรมของคนอันเป็นที่รัก มันไม่ได้ฆ่าอย่างสัตว์ฆ่าสัตว์ มันตั้งใจฆ่าเพื่อชิงปล้นเอารถไปขาย ได้เงินแค่หลักแสนหลักหมื่นบาท ไม่สนใจว่า เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายต่างหวงแหนชีวิต หวาดกลัวความตายเช่นพวกมันเหมือนกัน มันกระชากชีวิตของคนอื่น ซึ่งควรจะอยู่กับครอบครัวอีกนานเท่านาน เพียงเพราะอยากได้ทรัพย์สิน ทั้งๆ ที่มันมีมือมือตีนทำมาหากินได้ หรือไม่ต้องทำร้าย ไม่ต้องฆ่าใคร แค่ลักขโมยรถ ก็เอาไปขายได้เช่นกัน
ทำไมบ้านเมืองเราจึงมีสัตว์เดนนรกในร่างคน ฆ่าใครต่อใคร โดยไม่คิดว่า ถ้าตัวมัน หรือญาติพี่น้องพ่อแม่ของมัน โดนฆ่าบ้างจะรู้สึกอย่างไร ทำไมกมลสันดานของพลเมืองเราบางคน จึงต่ำทรามอย่างที่สุด ศีลธรรมการอบรมสั่งสอนให้เป็นคนในร่างคน ทำไม่ได้เชียวหรือ บางคนจะต่อต้านโทษประหารชีวิตกันอีกหรือ
อีกอย่าง มาตรการทางกฎหมาย เราอ่อนล้าเต็มที หากจีนแผ่นดินใหญ่มีขื่อแปปวกเปียกอย่างไทย รับรองสัตว์นรกในร่างคนอย่างบ้านเรา จะเข่นฆ่าคนของเขามากมาย บ้านเมืองกลียุคเอาง่ายๆ
สำหรับเรา ที่แน่ๆ รับสารภาพลดโทษทันทีแทบทุกกรณี พ้นตะแลงแกงทันที และน่ากังวลอย่างยิ่ง คือ ความล่าช้าในการตัดสินลงโทษแทบทุกคดี โดยไม่จำแนกประเภท ไม่หันมากวดขันเร่งรัดคดีที่ประชาชนสนใจ กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างสำคัญ ให้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อป้องปรามหรือป้องกัน หน่วยงานรัฐ เช่น ตำรวจ อัยการ ต้องเผยแพร่ผลการตัดสินลงโทษผู้ร้ายเหล่านี้ ให้ประชาชนทราบอย่างกว้างขวาง เมื่อสื่อเขาไม่ค่อยทำ ให้รู้ว่า สัตว์นรกต้องชดใช้กรรมสาสมทันตา นักการเมืองที่เชื่อว่าตนและบริวารปลอดภัย ไม่มีแม้แต่ยุงริ้นไรมาไต่ตอม ต้องสละเวลาจากเรื่องการเมือง มาช่วยหาทางแก้ไขการบังคับใช้กฎหมายอีกแรงหนึ่งอย่างเร่งด่วน
ไม่เช่นนั้นจะต้องมีเหยื่อ อย่างเช่น นางสาว ร. อายุเพียง 33 ปี และ นาย ภ. อายุ ๓๐ ปี ที่เจตนาเอารถกระบะมาเพื่อจะขายให้พวกมัน ตามที่ตนประกาศไว้ แล้วมันรุมกันฆ่ารัดคอ จนตายอย่างน่าอนาถ หรือกรณีเช่ารถแล้วเอายาพิษให้กินจนตายเพื่อชิงรถ คนเดียวทำไม่รู้กี่ราย เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นสุจริตชน ต้องระวังตัวแจไปเสียทุกเรื่อง เพื่อไม่ให้ตนเองโดนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แม้ตำรวจจะพากเพียรตามล่าตามจับมันมาได้ ไอ้สารเลวคนหนึ่งอายุ 68 ปี เข้าไปแล้ว ลงท้ายกฎหมายแทบไม่ระคาย ไม่เกิดการกระตุ้นเตือนให้คนชั่วเลิกทำชั่ว กลับกลายเป็นการส่งเสริม ให้ทำบัดซบเลวทรามขนาดไหนก็ได้กว่าจะโดนลงโทษ อีกกี่ปีไม่รู้ โทษที่ได้รับห่างไกลจากการกระทำกรรมชั่วเท่าไรไม่รู้ ที่ควรให้มันตายตกไปตามกันทันใด สาธารณชนรับรู้เป็นบทเรียน ไม่มี ฉะนั้นโจรหรือไอ้ที่คิดจะเป็นโจร จะกลัวไปทำไม จะยั้งทำไม อยากได้ของใคร มากน้อยแค่ไหน ฆ่าเจ้าของได้ ฆ่าเลย นี่คือ ประ เทศไทยในขณะนี้ครับผม อนาถมากครับผม หรือใครว่าไม่จริง
อ่านคดีความที่นำมาตบท้ายให้หายเซ็งเป็ดกันเถอะนะ
คดีนี้อ่านเอาขำก็ได้ เพราะจำเลยโดนปรับไม่กี่ร้อยบาท แต่ไม่ยอมจ่ายค่าปรับ ดิ้นรนให้เป็นเรื่องยาว ทำให้ศาลมีคดีล้นมือ ที่บอกข้างต้นว่าการตัดสินล่าช้า ส่วนหนึ่งเกิดจากคนค้าความแบบไม่ยั้งนั้นด้วย โทษศาลซะทั้งหมดคงไม่ได้
นายอื้ออึง เป็นหนุ่มไทยเรานี่แหละไม่ใช่จีนจาม แกเป็นคนขับรถบรรทุกสิบล้อ วันนั้นพารถตะบึงมาถึงตีนสะพาน ตอนนั้นมีรถโดยสารจอดอยู่ด้วย อายุเยอะแต่ทำตัวเป็นวัยรุ่น แซงเพื่อจะขึ้นสะพานทันที ปิดทางรถที่จะสวนมา ผลคือ "นายยอจัง คนไทยอีกนั่นแหละ ไม่ใช่เกาหลี แกขับรถเก๋งยี่ห้อไหน รุ่นไหนก็แล้วแต่ กำลังจะลงตีนสะพาน เลยจ๊ะเอ๋กับของใหญ่รถบรรทุกสิบล้อที่มุ่งขึ้นสะพาน นายยอจัง ตาเหลือก พยายามชะลอรถของตน เหยียบเบรคทันที เจ้ากรรมฝนตกถนนลื่น ระบบเบรครถตอนนั้นธรรมดาๆ เข้าไปด้วย รถเก๋งจึงเถลือกไถลท้ายรถไปปะทะรถสิบล้อ รถเก๋งนั่นแหละเสียหาย รถบรรทุกไม่ระคาย ปัญหาอยู่ที่ว่าคนนั่งมาในรถเก๋งบาดเจ็บธรรมดา คือ ไม่ถึงสาหัส แต่คดีอาญาก็ตามมา
ผู้ที่อัยการหิ้วขึ้นศาล คือ นายอื้ออึง โดนข้อหาขับรถประมาท หมายถึง โดยประมาท รถยี่ห้อประมาทไม่มีขาย ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ
ศาลเจอคนหัวหมอเข้าให้แล้ว นายอื้ออึง จ้างทนายสู้คดี ให้การปฏิเสธ อ้างว่ารถเก๋งมาชนรถเขานี่นา
ศาลชั้นต้นพิจารณาตามเนื้อผ้า นั่งบัลลังก์แบบหน้าตาย ให้ชาวบ้านเกรงขามตามธรรมเนียมตุลาการทั่วโลก แล้วตัดสินเอาผิด นายอื้ออึง ตามฟ้อง ลงโทษข้อหาหนักสุด คือ กระทำโดยประมาทให้ผู้อื่นบาดเจ็บ ตาม ป. อาญา มาตรา 390 ปรับเยอะมาก 500 บาท
จำเลย คือ นายอื้ออึง คิดว่าตูโดนลงโทษซะขนาดนั้น ยอมไม่ได้หรอก ถึงไหนถึงกัน จ้างทนายจ่ายเงินเยอะกว่า 500 บาท ไม่รู้เท่าไร ยื่นอุทธรณ์ขึ้นไป อ้างโน่นอ้างนี่ ขอให้ยกฟ้อง ได้ผลแหะ
ศาลอุทธรณ์นั่งดูสำนวนคดีในห้องทำงาน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะไม่ต้องเจอใคร มีโอกาสจิบน้ำร้อนน้ำชาได้ตามสมควร แล้วเห็นตาม นายอื้ออึง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ คือ อัยการงานนี้ขยัน เห็นแย้งคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ยื่นฎีกาเพื่อเอาโทษ นายอื้ออึง อย่างหนักให้จงได้
ศาลฎีกาเห็นคดีแล้วสุดจะเซ็ง ขี้ประติ้วแค่นี้ต้องให้ออกแรง เสียเวลาทำคดีใหญ่ไปเปล่าๆ กัดฟันนั่งส่องดู แล้วชี้ขาดออกมาอย่างละเอียดซะด้วย
ในแง่ที่ว่าใครขับรถโดยประมาท ต้องดูว่า ก่อนที่ นายอื้ออึง จะขับรถหลีกหรือแซงรถที่จอดขึ้นไป จนปิดทางรถสวนมานั้น นายอื้ออึง ชื่อหนวกหูจังเลย ระมัดระวังพอไหม ในเมื่อการเดินรถหมายถึง ขับรถต้องเดินในทางของตน ถ้าจะหลีกรถ หรือแซงขึ้นทางขวา กินทางรถที่สวนมา ตามวิสัย นายอื้ออึง ต้องเป็นฝ่ายใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ ต้องดูให้แน่ว่า มีรถสวนมาในระยะที่จะหลีกขึ้นไปได้พ้นไหม เมื่อเห็นอยู่ว่า ตอนที่ นายอื้ออึง ขับรถหลีก หรือแซงขึ้นไป เหตุคับขันก็เกิดขึ้นทันที จนต้องเบรคทั้งสองฝ่าย เมื่อดูแล้วสะพานที่รถยนต์เก๋งข้ามยาวตั้ง 58 เมตร พอรถบรรทุกขึ้นไป รถเก๋งก็ลงสะพานแล้ว แสดงว่ารถเก๋งขึ้นสะพานมาก่อน ถ้า นายอื้ออึง ใช้ความระมัดระวังดูรถที่ขึ้นสะพานมา ต้องเห็นรถเก๋งอยู่บนสะพานก่อนแล้ว ถ้าเถียงว่าไม่เห็น ก็เป็นความผิดของตนที่ไม่ดูให้ดี ตามพฤติการณ์ นายอื้ออึง มุ่งที่จะขึ้นสะพานให้ได้ก่อน เห็นว่าไม่ทันก็เบรค นายอื้ออึง เป็นฝ่ายประ มาทในขั้นแรก ตานี้ดูว่าฝ่ายรถบรรทุก หรือฝ่ายรถเก๋งเป็นฝ่ายที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายได้ เห็นว่า ฝนตก ถนนลื่น เป็นเหตุการณ์ที่มีอยู่นะ จะมาบอกว่า ถ้าฝนไม่ตกถนนไม่ลื่นจะไม่ชนกันมันไม่ได้ วิสัยการขับรถในภาวะเช่นนี้ย่อมต้องใช้ความระมัดระวังกว่าถนนแห้ง เมื่อฝ่ายรถเก๋งไม่ได้ขับเร็วเกินควร จะว่ารถเก๋งผิดจึงไม่ได้ การที่รถเก๋งต้องห้ามล้อทันทีเพราะ นายอื้ออึง ทะลึ่งขับรถขึ้นไปปิดทาง เขาไม่สามารถแก้ไขอย่างอื่นได้ ต้นเหตุเกิดจากรถบรรทุกปิดทางรถเก๋งที่จะลงสะพานนั่นแหละ ฎีกาของอัยการโจทก์ฟังเข้าท่า ฟังขึ้น
ศาลฎีกายอมโป๊ตอนแก่อีกหน พิพากษาแก้ ให้ลงโทษ นายอื้ออึง ตามคำตัดสินของศาลชั้นต้น จัดหนัก ปรับไปเลย 500 บาท จะได้หลาบจำ
ตอนเกิดเรื่องทองคำราคาบาทละ 400 บาท นายอื้ออึง เลยมองว่าโดนปรับแรง อีกอย่างคงกลัวคดีแพ่งตามบี้ คนที่ค้าความคดีอาญาในคดีจราจร ซึ่งเรามองว่าหัวหมอ ทำไมไม่ยอมให้ปรับ นิดหน่อยเอง ขี้ตืดฉิบเป๋ง หางานให้ศาลท่านทำงกๆ เกิดปัญหาคดีแออัดล่าช้าตามมา ส่วนใหญ่ดิ้นหนีคดีแพ่งกลัวจ่ายค่าเสียหาย มีเหมือนกันทิฐิสูงปรี๊ด ยังไงอั๊วก็ไม่ยอม สลึงเดียวก็ไม่ยอม ขายที่ดินสู้ความเฉยเลย ทนายงี้ช้อบชอบคนแบบนี้ ตื่นเช้าจุดธูปบนบานให้เจอทุกวันก็แล้วกัน
ครับ ขออนุญาตสะกิดเตือน คบหาติดต่อผู้คนสมัยนี้ โดยเฉพาะในบ้านเมืองเรา ต้องระแวงภัยไว้เสมอ คนไม่รู้จักยิ่งระวัง ขับรถไปเสนอขายก็น่ากลัว อย่าโชว์รวยไม่เลือกที่ ซวยมหันต์อาจตามมาติดๆ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 567/2506
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/91743