ร่มไม้ชายศาล
ทุบรถขโมยของ
ถ้าผมเป็นตำรวจ คงกลุ้มกับผู้มีอันจะกิน หรือดาราคนดังผู้มั่งคั่งเหลือเกิน ขยันหาเหตุให้ไปสืบสวนหาทางจับกุมโจรชั่วช้าสารเลว ที่ไปทุบกระจกรถของเขาเหล่านั้น แล้วโอดกาเหว่าว่า โดนขโมยทรัพย์สินมีค่าเป็นแสนๆ บาท ซึ่งเก็บไว้ในรถที่จอดอยู่ตรงนั้นตรงนี้ เวลากลางวันบ้าง กลางคืนบ้าง อยากได้ทรัพย์สินคืนเหลือเกิน
กลุ้มไม่ได้กลัวเหน็ดเหนื่อย เพราะจับได้ก็คือได้ ไม่ได้มันก็ไม่ได้ ในเมื่อโจรมันไม่ได้เอาป้ายแขวนบอกไว้ที่คอว่า ฉันเป็นคนขโมย ให้ไปตามจับ
แต่ชวนกลุ้มเพราะท่านเจ้าของรถต่างอยู่ที่เมืองไทย ไม่ใช่คนจากดาวอังคารเพิ่งบินมาอยู่ที่นี่ ต้องรู้อยู่แก่ใจว่า โจรชุมกว่ายุง โดยเฉพาะในเมืองหลวง มันขโมยดะ ชนิดกินเนสบุคจะต้องมอบประกาศให้เป็นพิเศษ สำหรับใครก็ตามที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ แล้วโชคมโหฬาร ไม่โดนลักขโมยข้าวของเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าบุคคลหรือองค์กร หรือหน่วยงาน มันทำราวกับว่าไทยไม่มีกฎหมายเอาผิด ไม่มีเจ้าหน้าที่ปราบปรามเรื่องนี้เลย พวกลักขโมยจึงมีมากมาย ลักทุกอย่างที่ขวางหน้า เผลอๆ มันลืม ลักข้าวของที่ตัวเองมีอยู่ก็ได้ เพราะลักเป็นอาจิณ ลักจนเป็นสันดาน ไม่ติดคุก ถ้าติดก็จิ๊บจ๊อย ไม่นานออกมาลักได้อีก
เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าโจรชุม แล้วเจ้าประคุณ ทำไมเก็บข้าวของเงินทองมีค่าไว้ในรถละครับ รถไม่ได้หุ้มเกราะ หรือหุ้มเกราะมันอาจจะงัดเอาเหล็กที่หุ้มไปชั่งกิโลขายก็ได้ ทำไมไม่เก็บรักษาสมบัติไว้ที่อื่น ในรถยนต์นั้นคุ้มครองไม่ได้แน่ๆ อยู่แล้ว ปัญญามากน้อยขนาดไหนก็น่าจะรู้ โดนแต่ละครั้ง รถเสียหายไปด้วย ตำรวจก็ยุ่ง ชาวบ้านก็เสียเวลาดูข่าว ไม่เกิดประโยชน์สักอย่าง บางคนยังหมั้นไส้เศรษฐี เกิดความเครียดขึ้นมาซะอีก
แต่ถ้าตั้งใจเผื่อแผ่โจร เวลาโดนเข้า น่าจะเฉยเสีย ถือว่าทำบุญหรือฟาดเคราะห์ ยังงี้ไม่ว่ากัน เชิญตามสบาย
ตามมาด้วยคดีความจึงจะครบเครื่อง
กิจการอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ใครหากินทางนี้ ผมยอมรับว่ามีความสามารถ มีความอึด นั่นคือ อู่เคาะพ่นสีรถ ที่บอกว่าอดทนนั้นวัดจากเราๆ ท่านๆ ถ้าเอารถไปซ่อมสักคันหนึ่ง หนีไม่พ้นคือการติดตามถามไถ่ว่าซ่อมเสร็จหรือยัง มีปัญหาไหม อะไหล่หาได้ไหม ถูกแพงยังไง จะได้รถเมื่อไร ทำไมนานเหลือเกินวะ ยัวะแล้วนะโว้ย
นั่นหมายความว่า ทางอู่ซ่อมต้องตอบคำถาม ต้องผจญปัญหา ไม่ใช่น้อย เมื่อรถที่เข้ามาไม่ใช่แค่คันเดียว ยอมรับเลยว่า ผมซูฮกคนทำอาชีพนี้ ไม่มีปัญญาทำอู่ซ่อมรถแน่ๆ โดยเฉพาะอู่เคาะพ่นสี เจียมตัวครับ ไปแคะขนมครกขายงี้พอไหว
นายน้ำแข็ง เขาเปลี่ยนชื่อหลังจากเปิดอู่ซ่อมรถไม่นาน นัยว่าเตือนตัวเองให้ใจเย็นกับลูกค้า ไม่งั้นต้องเลิกทำอู่ไปขายเต้าฮวย โดยมี นางน้ำเย็น ภรรยาเป็นลูกคู่ ทำมานานสิบกว่าปี กิจการก้าวหน้าพอสมควร อ้อ ยังมีน้องเมีย คือ นางน้ำกลั่น กับ นายน้ำปั่น ช่วยเหลือ กินเงินเดือนของอู่
สิ่งที่แน่นอน คือ ความไม่แน่นอน นี่คือคาถาที่ผมท่องไว้เสมอ จะได้ไม่วางใจโชคชะตาจนตั้งตัวไม่ติด นางน้ำเย็น มีอันต้องจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน แล้วศาลก็มีงานทำเพิ่มขึ้น เมื่อนางน้ำกลั่นกับ นายน้ำปั่น สองพี่น้อง จ้างทนายไปยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของพี่สาว ซึ่งมีที่ตั้งอู่และที่ดินรวม 3 แปลง เงินสดในแบงค์ กับรถยนต์ ราคารวมกันไม่ใช่น้อย ถ้าศาลอนุญาตก็มีสิทธินำมรดกมาแบ่งปันไปตามเรื่อง โดยไม่สนใจ นายน้ำแข็ง พี่เขยเอาซะเลย
สาเหตุที่เป็นยังงั้น เพราะ นายน้ำแข็ง กับ นางน้ำเย็น อยู่กินกันโดยขี้เกียจจดทะเบียนสมรส น้องเมียมองว่าเป็นคนนอก ไม่ใช่ทายาทของ นางน้ำเย็น ผู้ตาย มายุ่งด้วยไม่ได้
ยังดีที่ นายน้ำแข็ง ทราบเรื่อง วิ่งโร่ไปปรึกษาทนาย ก่อนจะไม่ได้อะไรเลย ทนายให้ยื่นคำคัดค้านต่อศาล อ้างว่าน้องเมียไม่เหมาะที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีความสามารถที่จะจัดการมรดก ขอให้ตั้ง นายน้ำแข็ง ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับ นางน้ำเย็น มีชื่อร่วมกันในที่ดินและรถยนต์เป็นผู้จัดการมรดก
ฝ่ายน้องเมียก็โต้แย้งว่า นายน้ำแข็ง ไม่ใช่ทายาท ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย จึงเข้ามาคัดค้าน เข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้หรอก
ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้ว มีคำสั่งให้ นางน้ำกลั่น กับ นายน้ำปั่น เป็นผู้จัดการมรดก ยกคำคัดค้านของ นายน้ำแข็ง
นายน้ำแข็ง ยื่นอุทธรณ์ แล้วหน้าเหยลงจากศาลเพราะศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้
นายน้ำแข็ง ร่ำๆ จะเปลี่ยนชื่อเป็นน้ำร้อน กลุ้มอกกลุ้มใจไม่น้อย ต้องพึ่งทนายให้แก้เกมด้วยการยื่นฎีกา ลุ้นเฮือกสุดท้าย
ศาลฎีกายิ้มออกนิดหนึ่ง เมื่อเจอคดีเบาๆ ไม่ยุ่งยาก จิบน้ำร้อนน้ำเย็นอ่านสำนวนเสร็จ ชี้ขาดออกมาว่า
งานนี้ นางน้ำเย็น ผู้ตาย ไม่ได้ตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก นางน้ำกลั่น และนายน้ำปั่น เป็นทายาทโดยธรรม โดยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับ นางน้ำเย็น ส่วน นายน้ำแข็ง เป็นสามีนางน้ำเย็นโดยไม่จดทะเบียนสมรส ขณะที่น้องเมีย นายน้ำแข็ง และนายน้ำแข็ง ต่างมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามในการเป็นผู้จัดการมรดก ศาลฎีกามองลอดแว่นแล้วเห็นต่อไปว่า ผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายแพ่ง ฯ มาตรา 1713 ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะทายาทโดยธรรม หรือทางพินัยกรรม แม้ นายน้ำแข็ง เป็นสามีไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ได้อยู่กินร่วมกันนานสิบกว่าปีจน นางน้ำเย็นจากไป มีทรัพย์สินได้มาในระหว่างนั้น ต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินทำมาหาได้ร่วมกัน ที่เห็นๆ คือ ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดิน 3 แปลง ขณะที่น้องเมียก็ยอมรับต่อศาลว่า นายน้ำแข็ง กับพี่สาวประกอบกิจการอู่ซ่อมรถร่วมกัน ให้น้องเมียทั้งสองและหลานทำงานในอู่ รับเงินเดือนเป็นค่าจ้าง นายน้ำแข็ง จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย การตั้งผู้จัดการมรดกศาลคำนึงถึงความเหมาะสมบพฤติการณ์ ที่จะให้ประโยชน์แก่ทายาทและกองมรดก การให้น้องเมียและพี่เขยได้จัดการมรดกร่วมกัน น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดการมรดกแต่ฝ่ายเดียว ฎีกาของ นายน้ำแข็ง ฟังขึ้น
ศาลฎีกายอมโป๊อีกหนหนึ่ง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตั้ง นายน้ำแข็ง เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกับ นางน้ำกลั่น และนายน้ำปั่น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไว้
คดีนี้ชี้ให้เห็นว่า การไม่จดทะเบียนสมรสก่อให้เกิดความหวาดเสียว อาจสูญเสียทรัพย์สินโดยง่าย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมอดม้วยลงไป โดยไม่จัดการแบ่งปันทรัพย์สมบัติไว้ก่อน เพราะคนเราไม่ว่าใครก็ตาม ต่างคิดเข้าข้างตัวเองตะพึด ตูยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ทั้งๆ ที่คนบนโลกนี้ตายกันโครมๆ ตายไปทุกวินาที เอาเป็นว่าผู้คนเกือบ 7 พันล้านชีวิต ที่หายใจเฮือกๆ อยู่ในเวลานี้ ไม่มีใครรอด ถึงเวลาล้มหายตายจากไปจนหมดสิ้น ที่เห็นผู้คนอยู่บนโลกนี้ไม่ขาด เพราะเกิดขึ้นใหม่ชดเชยที่ตายไปแล้วนั่นแหละครับ ออกงิ้วออกโขนออกฤทธิ์กันเหยงๆ ด่าทอกันทางสื่อปีแล้วปีเล่า เก่งๆกันทั้งนั้น ขอให้นึกถึงวันตายไว้บ้างเถอะพ่อคุณ มีแค่เหรียญเดียวในปาก
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1239/2554
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/90093