DIY...คุณทำเองได้
เชค "แอร์"
เริ่มเข้าเดือนเมษายนแล้ว ระบบปรับอากาศ (แอร์) ในรถของคุณ เตรียมพร้อมรับอากาศร้อนสุดของปีแล้วหรือยัง ? DIY...คุณทำเองได้ ฉบับนี้ ขอเสนอวิธีตรวจเชคระบบปรับอากาศ แบบง่ายๆ ที่แม้แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ทำได้
หัวใจหลักของความเย็น
หลักการทำงานง่ายๆ ของแอร์ หรือระบบปรับอากาศภายในรถ คือ คอมเพรสเซอร์ (COMPRESSOR) จะอัดไอน้ำยา ให้มีอุณหภูมิ และความดันที่สูงขึ้น (สถานะแกส) คอนเดนเซอร์ (CONDENSER) มีลักษณะคล้ายหม้อน้ำ ทำหน้าที่ระบายความร้อนจากไอน้ำยา ให้อุณหภูมิลดลง (สถานะของเหลว) รีซีเวอร์/ดไรเออร์ (RECEIVER/DRIER) หรือหม้อพักน้ำยาแอร์ มีลักษณะเป็นกระบอกโลหะ ภายในมีสารดูดความชื้น มีหน้าที่สำรองน้ำยาในสถานะของเหลว เอกซ์แปนชันวาล์ว (EXPANSION VALUE) หรือลิ้นลดความดัน ช่วยให้แรงดันต่ำลง จนผสมกันเป็นฝอยละออง อีแวพอเรเตอร์ (EVAPORATOR) หรือตู้แอร์ น้ำยาที่เป็นฝอยจะระเหยเป็นไอในท่อคดเคี้ยวของตู้แอร์ เพื่อดูดความร้อนจากอากาศภายในห้องโดยสาร ทำให้น้ำยาเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็นไออีกครั้ง เพื่อเข้าสู่คอมเพรสเซอร์ แล้วจะวนเป็นวัฏจักรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
หลักการตรวจเชคอย่างง่ายๆ
ใช้ความรู้สึก
วิธีนี้ต้องอาศัย "สัญชาตญาณ" กันสักหน่อย คือ ต้องรู้ถึงระดับความเย็นในขณะที่แอร์ทำงานเป็นปกติ แล้วนำความรู้สึกนี้มาเทียบกับปัจจุบันว่าแตกต่างกันหรือไม่ เช่น เปิดแอร์นานแล้วทำไมยังไม่เย็น เจอแดดจัดหน่อยก็สู้ไม่ไหว ติดไฟแดงแป๊บเดียวก็ร้อนแล้ว เป็นต้น หรือจะสังเกตจากความเย็น (แรงลม) ในช่องแอร์ ซึ่งถ้าแอร์เริ่มมีปัญหา ความเย็นจะลดลงจนคุณต้องเพิ่มระดับความเย็น หรือความแรงของพัดลมอยู่เรื่อยๆ
แอบมองผ่านตาแมว
หม้อพักน้ำยาแอร์ หรือ รีซีเวอร์/ดไรเออร์ ด้านบนมีช่องมองกระจกทรงกลมเล็กๆ เรียกว่า "ช่องตาแมว" ช่องนี้มีไว้ดูน้ำยาแอร์ เมื่อสตาร์ทเครื่อง และเปิดระบบปรับอากาศ หากระบบสมบูรณ์ น้ำยาแอร์จะวิ่งผ่านจนเกิดเป็นฟอง แสดงว่าปกติ แต่ถ้าเห็นฟองเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย แสดงว่าน้ำยาแอร์อาจน้อยเกินไป และถ้าน้ำยาแอร์เต็มช่องจนมองไม่เห็นฟองอากาศ แสดงว่า น้ำยาแอร์มากเกินกำหนด
ตามหารอยรั่ว
น้ำยาแอร์นั้น สามารถซึมออกมาทางข้อต่อต่างๆ ได้เล็กน้อย แต่ไม่สามารถหายไปเองได้ นอกจากรั่วหรือซึมออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของรถที่ใช้มานาน สังเกตได้จากน้ำมันหล่อลื่นคอมเพรสเซอร์ซึมติดเป็นคราบ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะชิ้นส่วนที่เป็นโลหะผุทะลุ ก็อาจเป็นที่ท่อยาง หรือแหวนกันรั่ว (โอ-ริง) เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ถ้ารั่วที่รังผึ้งทำความเย็น หรือตู้แอร์ (อีแวพอเรเตอร์) ให้สังเกตจากน้ำที่กลั่นตัวและหยดลงที่พื้นถนน ถ้ามีคราบน้ำมันปนอยู่ด้วย แสดงว่ารั่วแล้ว
สำรวจพัดลมไฟฟ้า
อุปกรณ์ที่สำคัญในการพาอากาศร้อนไปทิ้งด้านนอก คือ พัดลมไฟฟ้า รถรุ่นใหม่ๆ จะมีพัดลมไฟฟ้า 2 ตัวขึ้นไป ตัวหนึ่งจะใช้สำหรับระบายความร้อนของระบบปรับอากาศ อีกตัวหนึ่งจะใช้สำหรับระบายความร้อนของหม้อน้ำ หรือทำงานพร้อมกันในขณะที่คอมเพรสเซอร์ทำงาน ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและการออกแบบ ลองตรวจเชคดูว่า พัดลมไฟฟ้า ยังทำงานตามจังหวะปกติ และมีความแรงมากพอหรือไม่ หากพบปัญหา อย่านิ่งนอนใจ รีบแก้ไขด่วน
เชคการตัดต่อของคอมเพรสเซอร์
อย่างที่รู้กันว่าคอมเพรสเซอร์ทำหน้าที่อัดน้ำยาแอร์ เพื่อให้เรารู้สึกเย็นที่บริเวณช่องแอร์ แต่ถ้าคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน ช่องแอร์ก็จะมีแต่ลมร้อนๆ เท่านั้น สังเกตได้ที่หน้าคอมเพรสเซอร์ที่ต่อกับสายพาน เวลาเราเปิดแอร์จะเห็นว่า พลูเลย์หน้าคอมเพรสเซอร์จะหมุนแล้วหยุด หมุนแล้วหยุดไปตลอด (พร้อมกับการตัดต่อของพัดลมไฟฟ้า) แต่ถ้าพลูเลย์หน้าคอมเพรสเซอร์ไม่หมุนเลย นานๆ หมุนที หรือหมุนตลอด แสดงว่าเริ่มมีปัญหาแล้ว ให้ไปพบช่างด่วน
วิธียืดอายุระบบปรับอากาศรถยนต์
- ควรปรับอุณหภูมิความเย็นให้อยู่ในระดับที่ "สบาย" (ประมาณ 25 องศาเซลเซียส) ไม่ให้เย็นจัดเกินไป
- ตรวจเชคระบบปรับอากาศรถยนต์ทุกๆ 3-6 เดือน และควรล้างตู้แอร์ทุกๆ 3-4 ปี
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม หรือสเปรย์ปรับอากาศ ที่มีแอลกอฮอลเป็นส่วนประกอบ เพราะไอระเหยจะถูกดูดเข้าไปสะสมที่บริเวณครีบของคอยล์เย็น ทำให้ฝุ่นผงไปจับได้ง่ายจนฝังแน่น ทำให้ความสามารถในการถ่ายเทความร้อนลดลง และอาจทำให้ตู้แอร์ผุกร่อนเร็วขึ้น
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : ราชวัตร แสงจันทรา
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : DIY...คุณทำเองได้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/89840