ชีวิตอิสระ(4wheels)
ฝ่าเหวลึกและผาชัน ลำเลียงบุญกับกลุ่มเมืองตากออฟโรด
เป็นอีกครั้งที่ต้องไปเยือน จ. ตาก หนนี้ไม่ได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเคย ผมได้รับคำเชิญจากกลุ่มเมืองตากออฟโรด เพื่อร่วมเดินทางกับกิจกรรม ขนส่งนายแพทย์และผู้เกี่ยวข้องจากมูลนิธิ พอ.สว. เข้าพื้นที่ตรวจสุขภาพของชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล
หลังจากได้ทราบข่าวจึงเกิดไอเดียเปิดรับบริจาคสิ่งของจากผู้ร่วมงานและเพื่อนๆ จนได้ เสื้อผ้า เครื่องเรียน และอุปกรณ์กีฬา มาเต็มหลังกระบะรถ ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่ก็เกิดเหตุต้องเบนเข็ม โชคดีที่ยังอยู่ในทิศทางอิ่มบุญ ติดตามบันทึกการเดินทางตอนนี้ ได้เลยครับ !
ผิดแผนเพราะพายุฝน
ทริพ พอ.สว. ล่มกลางครัน
ระหว่างทางไปยัง จ. ตาก ผมขับรถผ่านปากน้ำโพไปได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เนื้อหาใจความในการสนทนาครั้งนี้มีอยู่ว่า "ทริพล่ม หมอจาก จ. ตาก ถอนตัว เพราะพายุฝนเข้ากระหน่ำพื้นที่" งานเข้าผมทันที เพราะสิ่งของที่รับบริจาคมีมาเต็มหลังกระบะ อาจต้องถูกนำกลับมาตั้งต้นใหม่ที่กรุงเทพ ฯ
แต่กลุ่มเมืองตากออฟโรด บอกว่า พวกเราไปลองเส้นทางกันก่อน ไปได้แค่ไหนก็หยุดแค่นั้น เนื่องจากเพื่อนสมาชิกก็ได้เตรียมของบริจาคมาพอสมควร
เป็นไงเป็นกันครับ "หมอถอนตัว แต่พวกเราไม่ถอดใจ" เตรียมมุ่งหน้าสู่พื้นที่ตามเส้นทางเดิมที่พแลนไว้ แต่ปลายทางอาจจะเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย ระยะทางสั้นกว่าเดิมประมาณ 10 กม. สิ้นสุดการเดินทางที่ บ้านหินลาดนาไฮ ต. หินลาดนาไฮ อ. สามเงา จ. ตาก
มาซดา บีที-50
ขับเคลื่อนทุกสิ่ง ให้เป็นจริงได้
อย่างที่เกริ่นนำไว้ตั้งแต่แรกว่า ไม่ใช่การเดินทางแนะนำแหล่งท่องเที่ยว เส้นทางที่ไปนั้น ต้องบอกว่า ทั้งโหด ทั้งลุย ผมถือโอกาสนำ มาซดา บีที-50 ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ไปลอง โดยคิดอยู่ในใจว่า รถไหวแค่ไหน...ก็ไปแค่นั้น
ตลอดทริพทั้งทางเรียบบนถนนหลวง และทางโหด แบบขึ้นเขาชัน ลุยธารน้ำ รวมระยะทางกว่า 1,000 กม. ผมได้ลองอาวุธลับของรถคันนี้แบบเต็มพิกัด ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (DSC) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HLA) ซึ่งทำให้อึ้งและทึ่งกับสมรรถนะของรถคันนี้ และทำให้ผมถึงฝั่งฝันได้อย่างตั้งใจ
มุ่งสู่ไพร ใจเกินร้อย
อุปสรรคมิอาจขวางกั้นภารกิจ "ลำเลียงบุญ"
เริ่มเดินทางกันเลยครับ เรามุ่งหน้าจาก จ. ตาก ไปตามเส้นทาง อ. บ้านตาก ช่วง กม. ที่ 65 จะพบกับปากทางเข้าหน่วยพิทักษ์ป่าไม้บ้านแสม จากปากทางเข้าไป สภาพเส้นทางเป็นดินลูกรัง ฝุ่นคลุ้ง ผิดกับข้อมูลที่ให้มาว่า "พายุฝนกระหน่ำ" ที่ทำให้หมอกระเป๋าเขียวจากมูลนิธิ พอ.สว. มีอันต้องล้มเลิก
เส้นทางนี้ ลุงจ่อย (ผู้ประสานงาน ชมรมเมืองตากออฟโรด) ได้บอกว่า "เดิมทีเมื่อหลายปีก่อน เคยเป็นเส้นที่ใช้แข่ง บูเมอแรง ทริพ ที่พวกเขาได้จัดขึ้น แต่ปัจจุบันทางโหดน้อยกว่าเดิมมาก แต่ถ้าฤดูฝน ถือว่าหนักเอาเรื่อง เพราะดินลูกรังจะเปลี่ยนเป็นดินหนังหมู รวมถึงทางแคบๆ ขึ้นเขาลาดชัน รถพังระหว่างทางก็เยอะ ไปไม่ถึงจุดหมายถอดใจกลับบ้านก็แยะ" ผมรับฟังพร้อมความกดดันและภาระหนักอึ้งในความรับผิดชอบต่อ มาซดา บีที-50 ที่นำไปเป็นพาหนะ
แวะบ้านปิโสรง
ทานข้าวกลางวันอิงธารน้ำ
จากปากทางเข้าประมาณ 10 กม. จะพบกับเหมืองแร่ลิกไนท์ชื่อ โบเก ใกล้กันจะมีสะพานข้ามแม่น้ำแม่ตื่น ที่เล่าขานกันว่า ซ่อมแซมทุกปี เพราะกระแสน้ำเชี่ยวกราก แต่ปัจจุบันได้สร้างใหม่เป็นสะพานครึ่งเหล็ก ครึ่งปูนที่แข็งแรง สภาพเส้นทางเริ่มทุรกันดารขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังดีที่ไม่มีฝน
สักพักใหญ่ๆ เราเดินทางทวนกระแสน้ำเพื่อแวะทานข้าวที่ บ้านปิโสรง อาหารกลางวันมื้อแรกในป่าถูกจัดตั้งแบบเรียบง่าย พร้อมด้วยเมนูข้าวเหนียว หมูทอด เนื้อทอด เพื่อรองท้อง หลังจากอิ่มท้องและอิ่มบรรยากาศ ล้อจึงเริ่มหมุนใหม่อีกครั้ง
ลุยสายธารที่บ้านน้ำหอม
สภาพเส้นทางแคบ พร้อมหินก้อนใหญ่
ทางที่พวกเราไป ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก เพราะสภาพพื้นผิวที่เป็นหิน ข่วงล่างของรถก็ทำงานหนักด้วยเช่นกัน ไลน์บังคับที่แคบมาก หากรถไม่สูงพอ มีหวังใต้ท้องรถต้องบอบช้ำแน่นอน
น้ำก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งในการพิสูจน์สมรรถนะของรถ เพราะห้วยหลายแห่งที่ลุยผ่าน ระดับน้ำสูงประมาณหัวเข่า พร้อมหินก้อนใหญ่ใต้น้ำ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ สภาพเส้นทางดูเหมือนไม่เป็นทางมากขึ้นทุกที
บ้านน้ำหอม-ห้วยน้ำเย็น
ผจญภูเขาชัน ในไลน์แคบ
สภาพทางยังคงโหดขึ้นเรื่อยๆ ฝั่งซ้ายติดผนังเขา ฝั่งขวาคือเหวลึก เกือบตลอดเส้นทาง ภูเขาสูงชันทำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จาก 4H เป็น 4L เพราะต้องการแรงบิดสูงๆ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ในรถคันนี้ ทำให้ผมและผู้ร่วมทริพได้ประจักษ์ว่าสมรรถนะที่เหลือๆ เมื่อเจอกับสภาพทางอย่างนี้ก็ไปได้ฉลุย
ไลน์แคบๆ เฉพาะคัน ทำให้เนวิเกเตอร์ถึงกับไม่กล้ามองลงด้านล่าง ตรงจุดนี้การวางล้อเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากผิดเพี้ยนไปนิดหน่อย มีสิทธิ์หล่นเหว ซึ่งแถวๆ นี้เคยมีรถโฟร์วีลสดไรฟร่วงแล้วหลายคัน ภูเขาเกิน 10 ลูกที่ผ่านไป ทำให้หายใจไม่ค่อยโล่งท้องนัก
เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นมาพร้อมบอกจุดพักข้างหน้า คือ บ้านห้วยน้ำเย็น จะมีร้านค้าเป็นร้านสุดท้าย ขาดเหลืออะไรก็เลือกซื้อกันได้
ห้วยน้ำเย็น-หินลาดนาไฮ
เส้นทางลุยครบรส พร้อมเริ่มต้นกระจาย "บุญ"
พวกเราแวะตุนเสบียงจากร้านค้าแห่งสุดท้ายที่ บ้านห้วยน้ำเย็น ก่อนจะเดินทางต่อไปยังปลายทางที่ บ้านหินลาดนาไฮ ทางที่ผ่านมาต้องบอกว่าเป็นเพียงการวอร์ม ของจริงมาเกิดขึ้นกับการเดินทางช่วงสุดท้าย ทั้งทางแคบ ชัน ลุยน้ำ มีครบ แถมยังมีโบราณสถานที่ไม่มีชื่อเรียก จากคำบอกเล่า สิ่งนี้ คือ เจดีย์เก่าซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นสัญลักษณ์ของเส้นแบ่งเขตแดนของไทย-พม่า
ระหว่างทางมีบ้านกะเหรี่ยงเผ่าปกาเกอะญอ อาศัยอยู่ประปราย ขนมแพคที่เตรียมไว้กระจายสู่ชาวบ้านเป็นระยะๆ และการสำรวจพื้นที่เพื่อนำ "บุญ" ที่ลำเลียงมากระจายสู่เด็กๆ และชาวบ้านของ บ้านหินลาดนาไฮ ก่อนจะหาลานกว้างในการพักแรมแบบแคมพิง ริมสายน้ำแม่ตื่น ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำของเขื่อนภูมิพลนั่นเอง
แคมพิงริมน้ำแม่ตื่น
นอนนับดาว ฟังเสียงไพร
คณะของเราถึงปลายทางช่วงพลบค่ำ หลังจากลุยหนักจนอวัยวะภายในกระอักกระอ่วม เทนท์ถูกกางลงบริเวณลานดินริมน้ำ ต่างคนต่างแยกหน้าที่ มีทั้งก่อกองไฟ ทำกับข้าว ร้องรำฮัมเพลงกันสนุกสนาน อาหารที่เตรียมมาเริ่มทยอยลงท้อง พร้อมพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา และเตรียมแผนในการกระจายสิ่งของ ก่อนที่จะแยกย้ายเข้านอนฟังเสียงไพร
เช้าวันใหม่ พี่ตุ้ย พ่อครัวประจำทริพ จัดแจงนวดแป้งปาทองโก๋แล้วหย่อนลงกระทะ เสิร์ฟพร้อมข้าวต้มหมู ก่อนที่จะจัดเก็บเทนท์และเศษขยะ เตรียมตัวปฏิบัติภารกิจมอบสิ่งของให้แก่ชาวบ้านที่ลานดินบริเวณโรงเรียนหินลาดนาไฮวิทยาคม
ภารกิจสำเร็จ
ผู้ให้สุขใจ ผู้รับสบายตัว
ที่จุดนัดพบบริเวณลานดิน เด็กๆ และชาวบ้าน มารับของแจกกันเต็มลานดิน โดยมีตัวแทน คือ ครูเฉลี่ย เจริญวงศ์ (ครูใหญ่โรงเรียนหินลาดนาไฮ) ให้การต้อนรับ
ครูใหญ่แจ้งว่า "ที่บ้านหินลาดนาไฮจะมีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 400 คน ซึ่งเป็นชาวเขา และเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล เส้นทางสัญจรโดยทั่วไปจะต้องนั่งเรือจากปากเขื่อนภูมิพล โดยใช้เวลาเดินทางกว่า 3 ชม. และไม่ค่อยมีใครเดินทางมาด้วยรถ เนื่องจากเส้นทางโหดและทุรกันดารมาก สิ่งของที่นำไปแจกทั้งเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน และ อุปกรณ์กีฬา ถือว่าจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของพวกชาวเขาเป็นอย่างมาก"
ใช้เวลาแจกสิ่งของกันอยู่นานพอสมควรก่อนที่จะเดินทางกลับ สำหรับผู้ที่ไปร่วมทริพนี้เห็นภาพแห่งความสุข ที่พวกเราได้แบ่งปันมาให้ ต่างก็ชื่นใจไปตามๆ กัน
แม้ว่ากำหนดการเดิมจะเปลี่ยนจากการลำเลียงหมอจากมูลนิธิ พอ.สว เพื่อรักษาและเยียวยาชาวบ้านที่เจ็บป่วย มาเหลือเพียงแค่การบริจาคสิ่งของ ก็ไม่ถือว่าเป็นการผิดประเด็น ที่สำคัญ ใจกุศลของผู้ร่วมทริพ และสิ่งของที่ได้รับบริจาค ถูกส่งไปถึงมือผู้รับ
แม้เส้นทางจะทุรกันดารขนาดไหน ก็มิอาจกั้นขวางใจกุศลที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ร่วมทำกันมาในครั้งนี้ได้เลย !
ขอขอบคุณ
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อ มาซดา บีที-50 ดับเบิลแคบ เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ไว้ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง
กลุ่มเมืองตากออฟโรด ที่ช่วยให้การเดินทางในครั้งนี้สำเร็จด้วยดี
เรื่องโดย : ณัฐเทพ เผ่าจินดา
ภาพโดย : ราชวัตร แสงจันทรา
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/89813