ระหว่างเพื่อน
ภาษาถิ่นของเรา
เมื่อผมเริ่มเรียนหนังสือระดับประถม วิชาที่ขาดมิได้ คือ ภาษาไทย การเรียนภาษาไทยยุคนั้น ไม่มี แทบเลท ไม่มี ไอโฟน 5 และไม่มีอินเตอร์เนท อ่านหนังสือไทย เขียนภาษาไทย ตำราที่ว่าด้วยภาษาไทย มักเป็นบทเป็นกลอนเพื่อให้นักเรียนท่องจำ
หลักสำคัญของภาษาไทยอย่างหนึ่ง คือ บทสวดมนต์ ทั้งภาษาบาลี และภาษาไทย ผมเข้าใจว่าคงแปลมาจากภาษาบาลี
นักปราชญ์ของโลกส่วนใหญ่เห็นว่า ต้นแบบภาษาศาสตร์ของโลก คือ ภาษาบาลี เรียกว่า เป็นภาษาแรกเริ่มเดิมทีเดียวของโลก ทั้งก่อนและในสมัยพุทธกาลก็ใช้กัน แต่คำบาลี จะมีข้อถกเถียงกันอย่างไร แต่ที่สุดแล้ว ก็ยอมรับว่า "บาลี" เป็นภาษาหนึ่งในภาษาศาสตร์
มนุษย์สมัยก่อน ไม่ใช่สมัยที่ผมเรียนชั้นประถม การถ่ายทอดวิชา หรือปรัชญาแห่งชีวิตมีแนวทางเดียว คือ ท่องจำ หรือ "มุขปาฐ" คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ตกทอดสืบต่อกันมา ส่วนใหญ่ก็เป็นวิธีนี้ คือ สวด หรือ ปาฐ (RECITATION)
จนกระทั่งโลกาภิวัฒน์ต่อมา ระบบท่องจำก็ถูกกลืนด้วยการบันทึกเป็นตัวอักษร เริ่มจากการจารึกพระพุทธวจนะ อันเป็นที่มาของพระไตรปิฎก และการบันทึกก็ต้องบันทึกจากถ้อยคำที่เล่าต่อกันมาด้วยวิธี ปาฐ
เช่นนี้ ภาษาบาลี ก็วนเวียนอยู่กับกลุ่มผู้คนที่นับถือพระพุทธศาสนา ภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ ภาษาบาลี แต่มิได้หมายความว่า พระองค์ใช้บาลีเพียงภาษาเดียว
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ชาวมคธ เจ้าของภาษาบาลี พระองค์ทรงเป็นเชื้อสายศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ภาษารากฐานของพระองค์ ไม่ใช่บาลี หรืออีกนัยหนึ่ง ภาษาของมคธรัฐ
กาลครั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาที่แคว้นมคธ พระองค์จึงใช้ภาษาของชนถิ่นนั้น และเมื่อพระองค์เสด็จไปยังเมืองมาตุภูมิ คือ แค้วนกบิลพัสดุ์ พระองค์ก็ใช้ภาษาของชนถิ่นกบิลพัสดุ์
หรือพระองค์เสด็จไปยังแคว้นอื่น ก็จะทรงใช้ภาษาของชนชาวแคว้นนั้นเช่นกัน
นี่ก็เป็นที่มาของคำสรรเสริญยกย่องว่า พระพุทธเจ้า เป็นผู้ฉลาดในการใช้ภาษา ใช้ภาษาถูกต้องตาม กาละ เทศะ
ดังจะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้การพูดจาของผู้นำระดับโลกในถิ่นต่างๆ ที่มิใช่เมืองมาตุภูมิของตน มักจะมีภาษาของชนถิ่นนั้นเข้ามาแทรก เป็นการปราศรัยเชิงจิตวิทยาประการหนึ่ง
พระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า มิได้ยึดมั่นในภาษาถิ่น แต่ถ้าเราอยู่ในถิ่นใดก็ควรใช้ภาษาในถิ่นนั้น เช่น ภาษาไทยเรียกว่า "ถ้วย" บางถิ่นเรียก "ปาตี" บางถิ่นก็เรียก "ปิฏฐะ" ก็ควรเรียกตามเขาไป มิเช่นนั้นก็คงพูดกันไม่รู้เรื่อง
สมัยผมเรียนภาษาไทย บทท่องจำมีมาก และหลายหลากในเนื้อหาที่ต่างกัน อย่างจะพูดถึงเดือนกุมภาพันธ์ ก็ยังมีคำสอนว่า
"กุมภาพันธ์ผันมาสู่ฤดูร้อน"
ซึ่งวันนี้ภาษาถิ่นของเราก็เปลี่ยนด้วยความเรียบร้อย เพราะถิ่นของเราร้อนมาทุกเดือน ไม่ใช่เพิ่งจะมาร้อนเอาเดือนกุมภาพันธ์ ก็เลยเปลี่ยนเป็น
"กุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรัก"
เป็นวันวาเลนไทน์...วันสำคัญของนักบุญวาเลนไทน์ในคริสต์ศาสนา...
ผมเรียนภาษาไทย แค่การใช้ไม้ม้วน ก็ต้องเป็นเพลง (ไม่ใช่เพลงฉ่อย) เป็นบทกลอน ให้จำง่าย เพื่อความผิดพลาดการใช้ภาษาไทยจะได้น้อยลง
"ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหล ใครขอดู จะใคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใส และปลาปู สิ่งใด อยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง บ้าใบ้ ถือใยบัว หูตามัว มาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วน จำจงดี"
ผมเขียนภาษาไทยมานานกว่า สัตตะ-ทศวรรษ ยังไม่เคยนับเลยว่าไม้ม้วนในภาษาไทยมี 20 ม้วน
บางทีครูประจำชั้นเห็นนักเรียน ง่วงเหงาหาวนอน ก็จะกล่าวบทกลอนเตือนให้นักเรียนทบทวนความจำว่า วิชาที่กำลังเรียนอยู่นั้น สำคัญต่อวันข้างหน้า
"วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา จงตั้งเอากายเจ้า เป็นสำเภาอันโสภา ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวา ต่างเสาใบ...ฯ"
คำนมัสการทั้งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อันเป็นบทประพันธ์ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ผมเป็นนักเรียนต้องท่องทุกวันสุดท้ายของสัปดาห์ หลังเลิกเรียนเพื่อให้นักเรียนสำนึกถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่น มิหมองมัว หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร...ฯ"
"ธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาธร ดุดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดา ส่งสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมนต์...ฯ"
และบทสวดคำนมัสการพระสังฆคุณอีกบทที่ขึ้นต้นว่า
"สงฆ์ใดสาวกศาสดา รับปฏิบัติมา แด่องค์สมเด็จภควันต์ เห็นแจ้งจตุสัจเสร็จบรร- ลุทางที่อัน ระงับและดับทุกข์ภัย...ฯ"
บทนี้ผมชอบมาก เพราะหมายถึงบทจบ กลับบ้านได้ คำที่ลงท้ายนักเรียนจึงมักเปล่งสำเนียงสูงกว่าปกติ ในประโยคที่ว่า
"จงช่วยขจัดโพยภัย อันตรายใดใด จงดับและกลับเสื่อมสูญ..."
เสร็จจากท่องจำเรื่องศาสนา ผมก็ยังได้เรียนภาษาไทยจากเพลงไทยเดิมหลายเพลง ซึ่งผมซาบซึ้งในรสชาติของภาษาอย่างยิ่ง ลืมภาษาบาลี ตำราหลักของมวลมนุษย์
"โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย พี่มาเว้า รักเจ้าสาวคำดวง โอ้ดึกแล้วหนอ พี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย ขอลาแล้ว เจ้าแก้วโกสุม พี่นี้รักเจ้าหนอ ขวัญตาเรียม จะหาไหน มาเทียม โอ้เจ้าดวงเดือนเอย หอมกลิ่นเกสร เกสรดอกไม้ หอมกลิ่นคล้าย เจ้าสูของเรียมเอย หอมกลิ่น กรุ่นครัน หอมนั้นยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชย เราละหนอ..."
นี่เป็นเพลง "ลวงดวงเดือน 2 ชั้น" (คงไม่ได้หมายถึง ชั้นล่าง และเล่าเต๊ง) เป็นเพลงที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม ทรงนิพนธ์
พระไตรปิฎก ถ้าจะแปลความหมายเป็นภาษาไทยก็คงแปลว่า "ตะกร้าบรรจุพุทธวจนะสามใบ" มีทั้งหมด 45 เล่ม มีทั้งหมวดพระวินัย หมวดพระสูตร และหมวดพระอภิธรรม หรือพุทธปรัชญา
ประเทศไทยเป็นประเทศนับถือพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท มีคัมภีร์จารึกพระพุทธวจนะเป็นภาษาบาลี มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย และแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาพูด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นคำสรุปใจความ
เป็นต้นมา เมื่อเราอยากจะกล่าวว่า
"ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือนกิ่งใบไม้ ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้ ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเหมือนเปลือกไม้ ปัญญา เปรียบเหมือน กะพี้ไม้ และความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ เปรียบเหมือนแก่นไม้"
ในพระไตรปิฎกก็ต้องมีถ้อยคำว่า
"บุรุษต้องการแก่นไม้ ก็ตัดเอาแต่แก่นไปด้วยรู้จักแก่นไม้ คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้า ก็จะพึงกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญนี้ รู้จักแก่น กะพี้ เปลือก สะเก็ด กิ่งและใบไม้ ต้องการแก่นไม้ก็ตัดเอาแต่แก่นไป ด้วยรู้จักแก่นไม้ ทั้งจะได้รับประโยชน์จากแก่นไม้นั้นด้วย"
หากจะพูดว่าการเข้าถึงธรรมะ หรือดวงตามองเห็นธรรม ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ว่าภิกษุจับชายสังฆาฏิตามหลัง ย่างเท้าตามทุกก้าว แต่เธอมีความละโมบ มีความติดใจแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันเป็นโทษ ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภิกษุนั้นก็ยังอยู่ไกลเราโดยแท้" และเราก็อยู่ไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม
"ผู้ไม่เห็นธรรม ย่อมไม่เห็นเรา..."
กลับมาพูดถึงภาษาหลักของมวลมนุษย์ แม้แต่ชื่อที่เป็นภาษาไทยของเรา ยังมีคำแปล เพราะมีพื้นฐานมาจากภาษาศาสตร์ ทั้ง บาลี สันสกฤต และภาษาไทย
"ถนอม กิตติขจร" เป็นภาษาไทยปนบาลี โดยคำว่า "ถนอม" เป็นภาษาไทย และคำว่า "กิตติขจร" เป็นภาษาบาลี
"คึกฤทธิ์ ปราโมช" เป็นภาษาไทยปนบาลี และสันสกฤต โดยคำว่า "คึก" เป็นภาษาไทย "ฤทธิ์" เป็นภาษาสันสกฤต และคำว่า
"ปราโมช" คือ ภาษาสันสกฤตปนบาลี
ประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา ระบุว่า พระพุทธศาสนาเข้าสู่ราชอาณาจักรไทยเป็นลัทธิเถรวาท ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงส่งพระธรรมทูตไปประกาศศาสนายังประเทศต่างๆ ซึ่งในราชอาณาจักรไทย มีการเข้ามาถึงสุวรรณภูมิ (ไม่ใช่ สนามบิน) เมืองทวาราวดี (หรือเมืองนครปฐมในปัจจุบัน) มีหลักฐาน มีศิลาทำเป็นรูปธรรมจักร จารึกคาถาอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาว่า
"เยธมฺมา เหตุปปฺภวา เตสํ เหตํ ตถา คโตเตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ สิ่งที่เกิดจากเหตุ พระตถาคตตรัสเหตุ กับความดับเหตุของสิ่งนั้น พระมหาสมณะตรัสเพียงเท่านี้"
ต่อมา เมื่อพุทธศาสนาลัทธิมหายานแพร่หลายในอินเดีย ก็มาถึงเมืองไทย ขึ้นมาแต่เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีพระไตรปิฎกฉบับเมืองนครศรีธรรมราชกำเนิดขึ้นด้วย แต่ครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ทั้งหมดนี้ ยังมิใช่ความสมบูรณ์ของภาษาศาสตร์ที่ว่าด้วยภาษาไทย เป็นเพียงข้อสังเกตบางประการเท่าที่ผมพอจะคุยกันได้วันนี้เท่านั้น...!!
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2556
คอลัมน์ Online : ระหว่างเพื่อน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/89328