รู้ลึกเรื่องรถ
ยางหุ้มเพลา เรื่องที่ถูกมองข้าม
ผมไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการ แต่จากภาพที่เห็นบนถนน พอจะบอกได้ว่า รถเก๋งเกินกว่า 9 คัน จาก 10 คัน เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า และถ้ารวมรถเก๋งขับเคลื่อน 4 ล้อ กับรถ 4x4 เข้าไปด้วย ก็คงจะพูดได้ว่ารถยนต์นั่งเกือบทั้งหมดของเมืองไทย ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ผมเชื่อว่าผู้อ่านจำนวนมาก ได้ขับรถขับเคลื่อนล้อหน้ามาหลายต่อหลายคันแล้ว และถ้าเป็นอย่างที่ว่านั้น ท่านก็คงทราบดีว่า จุดอ่อนของรถขับเคลื่อนล้อหน้า มีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ บรรดาแท่นเครื่องซึ่งมีอยู่ 4 ถึง 5 ชิ้น แล้วแต่การ DESIGN ทำจากยางประสานกับเหล็ก (VULCANIZED) กับ DRIVE SHAFTS ซึ่งจะนับว่าเป็นจุดอ่อนของรถขับเคลื่อนล้อหน้าจริงหรือไม่ คงต้องลองมาวิเคราะห์ปัญหานี้กันสักหน่อย สำหรับคราวนี้ผมขอเลือกเพลาขับก่อน
ผู้ที่ใช้รถอย่างทะนุถนอม จะเริ่มพบอาการเสื่อมของเพลาขับล้อหน้าเป็นครั้งแรก ตอนที่เลี้ยววงแคบสุด และจะเป็นเฉพาะเมื่อเลี้ยวข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นทั้ง 2 ข้าง เพราะขณะที่เราเลี้ยวรถ ล้อทั้ง 2 ข้างไม่ได้ทำมุมกับแนวตามยาวของตัวรถเท่านั้น ล้อด้านในโค้ง จะมีมุมเบี่ยงเบนมากกว่า เช่น เมื่อคุณเลี้ยวขวา ล้อขวาจะเบี่ยงเบนจากแนวตรงมากกว่าล้อซ้าย ถ้ามีเสียงคลอนจากเพลาขับขณะคุณเลี้ยวขวาจนสุด แต่ตอนเลี้ยวซ้ายสุดไม่ดัง แล้วคุณไม่แน่ใจว่าดังมาจากล้อด้านไหน ค่อนข้างแน่นอนว่า ดังมาจากข้อต่อเพลาด้านขวา เพราะข้อต่อจะยิ่งรับภาระมาก ตามมุมที่ล้อเลี้ยว ถ้าคุณยังไม่ไปหาสาเหตุ หรือจัดการอะไรกับมัน อาการนี้ก็จะมากขึ้น เช่น เสียงดังขึ้น ดังนานขึ้น คือ จากเดิมที่ดังเฉพาะตอนเลี้ยวสุด ก็จะเริ่มดังตั้งแต่ยังเลี้ยวไม่สุด สาเหตุก็คือ ความสึกหรอของข้อต่อ ซึ่งถ้ามันเป็นความสึกหรอตามปกติ ที่เพิ่มขึ้นตามระยะทางที่รถถูกใช้งาน เราก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ และผมก็คงไม่ต้องมาเขียนเรื่องนี้ให้เสียเวลาทั้งคนเขียนและคนอ่าน
ปัญหาอายุใช้งานของเพลาขับล้อหน้า ของรถยนต์นั่ง มีความพิเศษเฉพาะตัวหลายประการด้วยกัน อายุใช้งานของชิ้นส่วนของข้อต่อที่เป็นโลหะ สูงกว่าอายุใช้งานจารบีที่ใช้หล่อลื่น และอายุใช้งานของจาระบีก็สูงกว่าอายุใช้งานของยางกันฝุ่น พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเป็นเพลาขับที่ไม่เคยถูกซ่อมมาก่อน ยางกันฝุ่นจะเสื่อมสภาพก่อนส่วนอื่น
ปัญหาอยู่ที่เมื่อใดก็ตามที่ยางกันฝุ่นของเพลาขับฉีกขาด แล้วไม่ได้ถูกซ่อมทันที ความเสียหายมากกว่านี้หลายเท่าจะตามมา เมื่อมันเริ่มฉีกขาดเป็นแผลเล็กๆ มันจะไม่หยุดอยู่เท่านั้น ทุกครั้งที่เราเลี้ยวรถ ยางกันฝุ่นจะถูกยืดอย่างแรง 1 ครั้งต่อ 1 รอบที่ล้อหมุน "แผล" จะฉีกกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝุ่นและทรายจะเข้าไปผสมกับจาระบี ทำลายผิวของเม็ดลูกปืนและราง ซึ่งมีความละเอียดระดับ 1 ใน 1,000 ส่วนของมิลลิเมตร ยังโชคดีหน่อยที่ในระยะแรกนี้ จาระบี จะถูกสลัดออกมาโดยแรงเหวี่ยง จึงพาฝุ่นและทรายส่วนหนึ่งกลับออกมาได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหาย และเมื่อจาระบีส่วนใหญ่ถูกสลัดออกมาหมด ก็จะถึงช่วงความเสียหายร้ายแรง ทั้งความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเสียดสี ที่มีฝุ่นและทรายช่วยเพิ่มการสึกหรอขึ้นอีกจนสามารถทำให้ข้อต่อที่เรียกกันว่า CVJ (CONSTANT VELOCITY JOINTS) นี้ หมดสภาพใช้งานภายในไม่กี่ 100 กิโลเมตร
ประเด็นของเรื่องนี้ อยู่ที่การชำรุดของยางกันฝุ่น ซึ่งราคาไม่กี่ 100 บาท สามารถทำลายเพลาขับซึ่งยังมีอายุใช้งานเหลืออีกยาวนาน ราคาท่อนละ 10,000 ถึง กว่า 20,000 บาท แล้วแต่ระดับของรถ ให้หมดสภาพใช้งานไปในทันที
มันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบและผลประโยชน์ของศูนย์บริการ เรียกเหมารวมว่าผู้ผลิตรถนั่นแหละครับ ถ้าสายพานของเครื่องยนต์ของคุณขาดกลางทาง คุณมักจะขับต่อไปไม่ได้ หรือไม่ก็ไปได้อีกไม่ไกล และคุณยังสามารถกล่าวโทษให้ศูนย์บริการที่คุณนำรถเข้ารับบริการตามกำหนด รับผิดชอบในฐานะที่ไม่ตรวจสอบและเปลี่ยนให้ แต่ยางกันฝุ่นเพลาขับที่ฉีกขาด ไม่ได้ทำให้คุณเดือดร้อนทันที คุณไม่รู้ด้วยซ้ำไป ว่ามันขาดแล้ว ศุนย์บริการจึงลอยอยู่เหนือความรับผิดชอบ แล้วยังได้เงินจากการขายเพลาขับใหม่อีกด้วย แล้วพวกเรา ผู้อ่านที่รัก จะทำอะไรได้ ? ผมขอให้เจาะจงให้ศูนย์บริการเปลี่ยนยางกันฝุ่นเพลาขับทั้งท่อน ทุกๆ 50,000 กม. (ถ้าขับทางไกลล้วนๆ ก็อาจจะเพิ่มเป็น 60,000 หรือ 70,000 กม.ได้) ยกเว้นรถระดับราคาสูงบางรุ่น ที่ยางกันฝุ่นด้านที่ติดกับล้อ ทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่ไม่ใช่ยาง จะมีอายุใช้งานนานกว่าแบบธรรมดาไม่ต่ำกว่า 2 เท่า
ผ้าเบรคดี ต้องเจอฝุ่น
มีผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อย สงสัยและสอบถามผมว่า เหตุใดศูนย์บริการที่ซ่อมรถสมัยนี้ ซึ่งแน่นอนว่าควรจะมีความทนทานกว่ารถสมัยก่อนมาก จึงมักเสนอให้เปลี่ยนจานเบรค หรือไม่ก็บอกเลยว่าต้องเปลี่ยนจานเบรค เป็นเพราะจานเบรคของรถรุ่นใหม่มันคุณภาพต่ำลง หรือว่าผู้ผลิตเจตนาทำให้มันอายุสั้น หรือว่าเพราะเหตุใดกันแน่ ?
เป็นเพราะเนื้อของผ้าเบรคของรถสมัยนี้มีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด จึง "กัด" จานเบรคให้สึกหรอเร็วพอสมควร คงต้องถามต่อว่า แล้วเหตุใดจึงต้องใช้เนื้อที่มีโลหะผสมอยู่ด้วย เพราะต้องการเพิ่มสมรรถภาพของการปรับเบรคครับ รถสมัยก่อน (เช่น เมื่อ 20-30 ปี ที่ผ่านมา) ทำความเร็วได้ไม่สูงนัก จึงไม่ต้องใช้ผ้าเบรคสมรรถนะสูงที่มีโลหะผสมอยู่ มีใช้เฉพาะกับรถแข่งเท่านั้น แต่รถยุคนี้ใช้เครื่องยนต์กำลังสูง ตัวรถเพรียวลม จึงทำความเร็วได้สูงมาก ในขณะที่น้ำหนักตัวกลับไม่ลดลงเท่าไรนัก เพราะมีระบบอำนวยความสะดวกเพิ่มเข้ามามากมาย เช่น เครื่องปรับอากาศ พวงมาลัยเพาเวอร์ กระจกไฟฟ้าระบบปรับเก้าอี้ด้วยไฟฟ้า ฯลฯ พลังงานของรถที่กำลังเคลื่อนที่แปรตามกำลังสองของความเร็ว ผ้าเบรคและจานเบรคจะต้องทำลายพลังงานกลจากการเคลื่อนที่ของตัวรถ ให้เป็นพลังงานความร้อนในเวลาที่สั้นสุด เนื้อผ้าเบรคของรถยุคก่อนรับไม่ไหวแล้วครับ เราจำเป็นต้องใช้โลหะผสมในเนื้อผ้าเบรค บางรุ่นมีโลหะแข็งปนอยู่ด้วย เช่น เหล็ก เมื่อฝ่ายหนึ่งของคู่เสียดสีมีเนื้อแข็งขึ้น อีกฝ่ายย่อมสึกหรอมากขึ้นเป็นธรรมดา จานเบรคของรถยุคนี้ จึงมีอายุสั้นลงหลายเท่า จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมพบว่าเมื่อผ้าเบรคชุดที่ 2 หมดอายุลง จานเบรคก็จะหมดอายุพร้อมๆ กัน ที่เรียกว่าหมดอายุ หมายความว่าจานเบรคสึกจนบางเกินไปนั่นเอง ถ้าศูนย์บริการเปลี่ยนหรือขอเปลี่ยนจานเบรค พร้อมกับผ้าเบรคชุดที่ 2 หรือชุดที่ 3 แล้วล่ะก็ อย่าเพิ่งไปมองเขาในแง่ร้ายว่าอยากขายของนะครับ
เมื่อมีความสึกหรอสูง จำนวนฝุ่นจากเศษโลหะของจานเบรคและผ้าเบรค รวมทั้งวัสดุผสานในเนื้อผ้าเบรคย่อมมีปริมาณมากขึ้นตามไปด้วย ฝุ่นนี้จะเกาะติดที่ล้อ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่จำนวนครั้งและความรุนแรงของการเบรค ผู้ที่ถือความสวยงามเป็นสรณะ เห็นแล้วจะหงุดหงิดอย่างยิ่ง ต้องทำใจครับ ถ้าทำใจไม่ได้คงต้องเช็ดกันเช้า กลางวัน เย็นหลังอาหาร บางรายกลับไปหาซื้อผ้าเบรคคุณภาพต่ำมาใส่แทน บอกว่าทั้งถูกและทำให้ล้อสะอาดขึ้นด้วย ผมเคยลองแล้วสมรรถภาพของการเบรคเลวลงอย่างมาก ยามเบรคฉุกเฉินอาจมีอันตรายถึงชีวิต เรื่องเกี่ยวกับรถนี่ ความปลอดภัยอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ถ้าตายไปหรือทุพพลภาพ ก็คงไม่มีโอกาสมาชมความงามของล้อแมกได้อีกต่อไปนะครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2556
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/89244