ร่มไม้ชายศาล
จวกรถไฟจ่ายอ่วม
หลายพื้นที่ในบ้านเรา ชาวบ้านใช้รถใช้ถนน ต้องผจญภัยกับการข้ามทางรถไฟ โดยอาศัยความสามารถเฉพาะตัว ไม่มีพนักงานดูแลปิดกั้นเมื่อรถไฟผ่านจุดตัด ซ้ำร้าย ต้นไม้สองข้างถนน ริมทางรถไฟ ก็ไม่มีใครอยากรับผิดชอบ ไม่ว่าการรถไฟ หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ซึ่งแย่งกันเข้าไปรับตำแหน่งจนมือถลอก กลายเป็นจุดเสี่ยงหนักเข้าไปอีก รถไฟขบวนใหญ่โตแล่นมาทั้งที ยังมองไม่ค่อยเห็น ใจเร็ว หรือประมาท ขับรถพรวดพราดข้ามทางรถไฟ หายนะตายมาไม่รู้เท่าไรอันที่จริง ไม่ใช่แต่เฉพาะเมืองไทย ประเทศอื่นๆ แม้กระทั่งฝรั่งมังค่า ก็มีรายการเสียวสยองกับการข้ามทางรถไฟเช่นกัน จนมีคลิพวีดีโอให้ดูแก้ง่วงไม่น้อย ตราบใดที่ถนนกับทางรถไฟยังหลีกกันไม่พ้น ไม่สามารถยกระดับ ลดระดับ ไม่ให้ตัดกัน มนุษย์โลกก็ต้องลุ้นกันต่อไป หากมองแบบเห็นใจว่า การรถไฟบ้านเราขาดทุนเป็นนิรันดร จนไม่สามารถจ้างพนักงานควบคุมดูแลทางข้ามรถไฟได้จริงๆ ผมเสนอง่ายๆ ให้ท้องถิ่น เช่น ทางจังหวัด อำเภอ เทศบาล หรือ อบต. เผื่อแผ่ จัดเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลแทน เพียงแต่ให้การรถไฟลงทุนนิดหน่อย ทำที่กั้นไว้ให้ ท้องถิ่นควักค่าจ้างพนักงาน โดยมีชาวบ้านร่วมบริจาคบ้าง เป็นการแสดงน้ำจิตน้ำใจต่อกัน ผลที่ได้ คือ ความปลอดภัย สำหรับคนในท้องถิ่นและคนทั่วไป ความคิดอาจจะเพี้ยน แต่ผมว่าไม่เลวนะครับ ไม่เชื่อดูคดีนี้เป็นตัวอย่าง แล้วจะหนาว เมื่อผู้เกี่ยวข้องโดนการรถไฟฟ้องร้องให้จ่ายเงิน ใครเจอเข้าร้องไม่ออกก็แล้วกัน วันเกิดเหตุเมื่อปี 2543 (ศาลฎีกาตัดสินเสร็จ ปี 2554) นายพุ่ง เห็นหนทางทำมาหากิน จึงเข้าหุ้นกับ นางกองเพชร ไปหารถบรรทุกอันเป็นกรรมสิทธิ์ของ นายดุ้นทอง มีใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นชื่อของ นายดุ้นทอง เป็นที่เรียบร้อย ไปรับจ้างบรรทุกทราย วันนั้น นายพุ่ง เหยียบคันเร่ง พารถพุ่งข้ามทางรถไฟแห่งหนึ่งเหมือนชื่อ รถบรรทุกจ๊ะเอ๋กับรถไฟอย่างจัง นายพุ่ง เจ็บสาหัส หมอยื้อชีวิตอยู่หลายวัน แต่ไม่รอด รถบรรทุกพัง หัวรถจักรและตู้พ่วงตกรางพังเหมือนกัน ตั้งหลักได้ การรถไฟไล่บี้ฟ้อง นางจี๊ด กับ นายจู๊ด เมียและลูกของ นายพุ่ง ในฐานะทายาท ฟ้อง นางกองเพชร หุ้นส่วนของ นายพุ่ง กับ นายดุ้นทอง เจ้าของรถบรรทุกและผู้ประกอบการขนส่ง ให้ร่วมกันรับผิด จ่ายค่าเสียหายแก่การรถไฟนิดหน่อย เป็นเงินกว่า 20 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย เมียและลูกของ นายพุ่ง คงไม่เท่าไร เพราะฐานะยากจน ไม่มีอะไรจะเสีย จึงนอนอยู่บ้าน ไม่สู้คดี ส่วน นางกองเพชร กับ นายดุ้นทอง ตาเหลือก ตะเกียกตะกายจ้างทนายสู้คดี นางกองเพชร จำเลยที่ 3 ให้การว่า ตอนเกิดเรื่องไม่ได้ครอบครองและใช้รถบรรทุก แต่ นายพุ่ง นำรถไปขนทรายขายให้ชาวบ้าน หาเงินเข้ากระเป๋าเอง นอกเวลางาน ไม่เกี่ยวกับหุ้นส่วน อีกอย่างรถไฟวิ่งเร็วเกินอัตรา ไม่เปิดหวูดเมื่อถึงจุดถนนตัดผ่าน การรถไฟไม่ทำสิ่งปิดกั้น รถไฟไม่ชะลอความเร็วเมื่อผ่านย่านชุมชน เหตุเกิดจากความประมาทของรถไฟล้วนๆ ค่าเสียหายอย่างมากแค่ล้านเดียว ขอให้ยกฟ้อง นายดุ้นทอง ก็สู้คดี ให้การว่า เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถบรรทุกก็จริง แต่ตอนเกิดเหตุตนไม่ได้ครอบครองและใช้รถ นางกองเพชร เช่ารถไปจากตน เพื่อประกอบกิจการเป็นการส่วนตัว มิได้นำมาขนส่งร่วมกับ นายดุ้นทอง นายดุ้นทอง จึงไม่ใช่ตัวการของ นางกองเพชร กับนายพุ่ง จึงไม่ต้องรับผิด และอ้างว่าการรถไฟประมาท ค่าเสียหายไม่เกิน 1 ล้านบาท เหมือนอย่าง นางกองเพชร ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นนั่งบัลลังก์ พิจารณาคดีจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก หน้าบอกบุญไม่ค่อยอยากรับ แล้วตัดสินให้ นางจี๊ด กับ นายจู๊ด เมียและลูกของ นายพุ่ง ร่วมกับ นางกองเพชร ชดใช้ค่าเสียหายแก่การรถไฟ 20 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้อง เถ้าแก่ดุ้นทอง เจ้าตัวงี้เฮสนั่นด้วยความดีใจ การรถไฟแห่งประเทศไทย คว้าได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย จึงยื่นอุทธรณ์ เพื่อตระครุบ เถ้าแก่ดุ้นทอง ให้ได้ ไม่งั้นจั่วลม ศาลอุทธรณ์พิจารณาจากสำนวนซึ่งหน้าเตอะ โดยไม่ต้องเห็นหน้าเห็นหนวดใครในศาล แล้วพิพากษาแก้ ลอคคอ นายดุ้นทอง ให้ร่วมวงรับผิดด้วยในหนี้ 20 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย ตามที่การรถไฟต้องการ เถ้าแก่ดุ้นทอง เหงื่อแตกพลั่ก เพราะไม่ได้ร่ำรวยนัก ถ้าจ่ายจริงๆ ถึงกับหมดตัว จึงกัดฟันให้ทนายยื่นฎีกา อ้างอย่างเดิม ขอให้ยกฟ้อง ที่บอกว่ากัดฟัน เพราะต้องควักเงินจ่ายค่าธรรมเนียมศาลอย่างน้อยๆ 2 แสนกว่าบาท วางเงินค่าทนายใช้แทนโจทก์อีกต่างหากหลายบาท แล้วมานั่งลุ้นนอนลุ้นกินไม่อิ่มนอนไม่หลับอยู่หลายปี ศาลฎีกาคว้าสำนวนคดีนี้ที่มาถึงคิว เพ่งพิจารณาด้วยความเมื่อยล้า แล้วชี้ขาดออกมาว่า งานนี้ นางกองเพชร ให้การยอมรับว่า ขณะเกิดเรื่อง นายพุ่ง นำรถไปบรรทุกทราย เพียงแต่อ้างว่าเป็นการส่วนตัวของ นายพุ่ง ที่แน่ๆ คือ นายพุ่ง และนางกองเพชร ไม่มีใบอนุญาตให้นำรถไปประกอบการขนส่ง มีแต่ นายดุ้นทองเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่ง มีเอกสารทางการมายัน นายดุ้นทอง ก็เบิกความยอมรับ ไม่รู้ว่า นางกองเพชร จะมีใบอนุญาตประกอบการขนส่งตามกฎหมายหรือเปล่า ในคำขออนุญาตประกอบการขนส่ง ระบุชัดว่า นายดุ้นทองต้องทำการขนส่งเพื่อการค้าหรือธุรกิจของตนเอง สถานที่เก็บ ซ่อมและบำรุงรักษารถ ก็ต้องเป็นที่อยู่ของ นายดุ้นทอง นายดุ้นทอง จะใช้รถสำหรับขนส่งสินค้าในกิจการค้าหรือธุรกิจของตนเท่านั้น จะไม่นำรถหรือยินยอมให้คนอื่นนำไปทำการรับจ้างขนสินค้าหรือบุคคลแต่ประการใด แสดงให้เห็นว่า ทางราชการไม่อนุญาตให้ นายดุ้นทอง นำรถไปใช้ขนส่งสินค้าในกิจการค้าหรือธุรกิจของบุคคลอื่นได้ นายดุ้นทอง ก็เป็นผู้เสียภาษีรถประจำ ปีตลอดมา หาก นายดุ้นทอง ให้ นางกองเพชร เช่ารถไปประกอบการขนส่ง โดย นางกองเพชร ไม่ได้รับใบอนุญาต ย่อมผิดกฎหมายขนส่งทางบก มีโทษทางอาญา สัญญาเช่ารถที่ นายดุ้นทอง อ้าง นายดุ้นทอง ไม่ได้นำ นางกองเพชร คู่สัญญามาเป็นพยานต่อศาลให้เห็นว่าเช่ารถจริง เป็นการง่ายที่จะทำขึ้นภายหลังเพื่ออ้างต่อศาลจึงไม่มีน้ำหนัก ถือได้ว่าขณะเกิดเหตุ นายพุ่ง เป็นตัวแทน ทำตามคำสั่งของ นายดุ้นทองๆ จึงต้องร่วมรับผิด ศาลอุทธรณ์ตัดสินแม่นยำแล้ว ศาลฎีกายอมเมื่อยขาในงานนี้ พิพากษายืน ให้ นายดุ้นทอง ร่วมรับผิดด้วยเต็มๆ อย่างที่บอกตอนต้น เหตุเกิดปี 2543 ศาลฎีกาตัดสินเสร็จปี 2554 ใช้เวลาเกือบ 11 ปี เถ้าแก่ดุ้นทองและพวกเจอดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ของเงินต้น 20 ล้านเศษ ติดต่อกัน 11 ปี โดนดอกเบี้ยทับหัวเกือบเท่าเงินต้น อ่วมไหมล่ะ โดยเฉพาะ เถ้าแก่ดุ้นทอง นี่คือสภาพการต้องคดีในบ้านเรา ขับรถยนต์ข้ามทางรถไฟ จึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเชียวละ ขอบอก จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่6233/2554
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88724