โค้งอันตราย
อย่างยิ้ม
รายงานตัวเลขการจำหน่ายรถยนต์ จากโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรม มีจำนวนทั้งสิ้น142,839 คัน เพิ่มขึ้นถึง 233.16 % เพราะผู้ผลิต ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศได้มากขึ้น ทำให้ส่งมอบรถยนต์กับผู้จองรถยนต์ได้มากขึ้นในส่วนของจักรยานยนต์ ผลิตกันมา 10 เดือน ได้ถึง 2,652,054 คัน เพิ่มขึ้นนิดหน่อย 0.85 % แต่นั่นก็ทำให้ทั้งผู้ผลิตยานยนต์ ผู้ผลิตจักรยานยนต์ รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง คาดหวังกันว่า ประเทศไทย จะก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับ 1 ใน 10 ของผู้ผลิตยานยนต์ ในเร็ววันนี้ แต่เรื่องของ นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 มกราคม 2556 กลับกลายเป็นประเด็นร้อนทางภาคเศรษฐกิจ ในเมื่อ ภาครัฐ ยืนยันว่า ไม่มีการเลื่อนแน่นอน ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม ก็มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รวบรวมผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเพื่อออกมาตรกรช่วยเหลือ ขณะที่ภาคเอกชน ได้รับการร้องเรียนจากสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมว่า ยังไม่พร้อมและอาจต้องปิดกิจการเพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 80 % ทำให้แบกรับต้นทุนไม่ไหว โดยเฉพาะกลุ่ม เอสเอมอี ที่มีอัตราจ้างค่าแรงขั้นต่ำจาก 160 บาท/วัน หากต้องปรับขึ้น 300 บาท/วัน เท่ากับต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้นถึง 80 % หรือคิดเป็นต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นถึง 16 % อีกทั้งกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถแก้ปัญหาโดยการปรับขึ้นราคาจำหน่ายได้ เนื่องจากได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามาแล้ว และเป็นสัญญาระยะยาวต่อเนื่องเป็นปีด้วย นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปถกเถียงหาข้อยุติกัน แต่ขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ แว่วมาว่า อาจถึงขั้นมีรายการ ปลดประธานสภาอุตสาหกรรม เกิดขึ้น เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาให้สมาชิกได้ แต่จากการศึกษาในเรื่องนี้ โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ผู้ประกอบการบางสาขาการผลิต อาจต้องเลิกกิจการจากที่แบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว ราคาสินค้า (อัตราเงินเฟ้อ) สูงขึ้น และทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมแย่ลง ผลการศึกษา พบว่าการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เท่ากับเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต และส่งผลต่อเนื่องไปยังราคาสินค้าอื่นๆ และการจ้างงาน ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมคือ REAL GDP ต่ำกว่าปกติ และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1 % อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติค สิ่งทอขั้นต้น การผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ รองเท้า และเครื่องแต่งกาย ขณะที่ภาคบริการและเกษตรได้รับผลกระทบลดหลั่นลงมา ในงานศึกษา ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบในระดับอุตสาหกรรมว่า การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำทันทีแบบก้าวกระโดด อาจส่งผลให้มีการเลิกจ้างแรงงานในบางธุรกิจที่มีกำไรต่ำ จนแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว ต่างฝ่าย ต่างก็ต่างความคิดเห็น ต่างมุมมองในแต่ละภาคส่วน นั่นคงต้องหาวิธีแก้ปัญหากัน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม สามารถก้าวไปในทิศทางที่มั่นคงได้อย่างเพียงพอ แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อาจไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงครั้งนี้ เพราะการจ้างงานอยู่ในอัตราสูงอยู่แล้ว เพราะเป็นแรงงานที่มีความชำนาญ แต่ด้านผู้ผลิตชิ้นส่วนขนาดเล็ก ที่ต้องทำงานป้อนกับผู้ผลิตชิ้นส่วนขนาดใหญ่ ที่โดนผลกระทบนี้แน่นอน เพราะทำสัญญาซื้อขายกันล่วงหน้า แบบผูกปีกันไปแล้ว ถ้าพลิกตัวไม่ทัน อาการก็น่าเป็นห่วงอยู่ แต่ถึงจะน่าเป็นห่วงอย่างไร ค่ายรถยนต์ต่างก็เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เร่งสร้างโรงงานใหม่ ที่ปีหน้านี้ บ้านเราจะมีค่ายรถเพิ่มการผลิต ไล่เรียงมาตั้งแต่ มิตซูบิชิ เพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 แสนคัน อีซูซุ ก็เร่งสร้างโรงงานใหม่ ผลิตเพิ่มอีกรวมเป็น 450,000 คัน โตโยตา ก็เร่งสร้างโรงงานเช่นกัน นิสสัน ก็ป่าวประกาศออกมาแล้ว ว่าสร้างโรงงาน 2 แน่นอน ไม่นับรวมถึง ฟอร์ด ที่สร้างเสร็จไปแล้ว แต่ก็ต้องเร่งขยายกำลังการผลิตอีก เพราะส่งมอบต่างประเทศไม่ทัน รวมแล้วในปี 2557 ประเทศไทยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล เรียกว่า 3 ล้านนี่ ถอยไปได้เลย ที่ทำกันมานี่ ไม่เห็นค่ายไหนกลัวเรื่องค่าแรงขั้นต่ำกันเลยสักเจ้าเพราะต้นทุนที่เพิ่ม ก็ต้องผลักกลับไปสู่ผู้บริโภคอยู่ดี แต่จะด้วยวิธีไหนเท่านั้นเอง มาดูนโยบายประชานิยมเรื่อง รถคันแรก กันบ้าง กรมสรรพสามิต รายงานยอดการขอใช้โครงการสิทธิในโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ไม่เกิน 1 แสนบาท เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน มีประชาชนมาลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิ์แล้ว 500,322 ราย รวมเงินที่ขอคืนภาษี 36,913,538,332.00 บาท จากเป้าหมายที่ประเมินไว้ช่วงแรกว่าจะมีมาใช้สิทธิ์ 5 แสนราย วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท จนถึงวันปิดต้นฉบับนี่ ยังไม่สามารถประเมินได้ว่า จนถึงเวลาสิ้นสุดโครงการจะมีประชาชนมาขอใช้สิทธิ์จำนวนเท่าใด เนื่องจากยังมีปัจจัยหนุนเรื่องการจัดงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 29 ซึ่ง กรมสรรพสามิต เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อรถยนต์ของประชาชนได้เป็นอย่างดี รวมถึงจะสิ้นสุดอายุโครงการในวันที่ 31 ธันวาคม นี้ ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย สถิติการขอใช้สิทธิ์ในโครงการนั้น ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่งประมาณ 3 แสนราย คิดเป็นวงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท รถกระบะ 1 แสนราย คิดเป็นวงเงิน 1.6 พันล้านบาท และรถยนต์นั่งกระบะ 1 แสนราย คิดเป็นวงเงิน 8.3 พันล้านบาท แยกเป็นพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัด พื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน( ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต พังงา กระบี่ นครศรีธรรมราช ) รวมทั้งสิ้น 31,875 ราย รวมเงินที่ขอคืนภาษีทั้งสิ้น 2,407,674,608.00 บาท และ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง( ตรัง พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ) รวมทั้งสิ้น 27,149 ราย รวมเงินที่ขอคืนภาษีทั้งสิ้น 2,070,606,787.00 บาท นั่นคือ สภาพการณ์ที่เป็นไปในห้วงเวลาไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ค่ายรถยนต์ทุกค่ายต่างก็ทำงานกันไป ยิ้มแย้มแจ่มใสกันไป พร้อมเตรียมฉลองการผลิตยานยนต์ ที่ทำกันมา 50 ปี เพิ่งจะครบ 2 ล้านคัน กันอย่างยิ่งใหญ่ ก็แสดงความยินดีมา ณ โอกาสนี้ หวังว่าตัวเลข 3 ล้านคัน คงไม่นานเกินรอ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88678