เทคนิค(car)
คำถามที่พบบ่อย
สำหรับคอลัมน์เทคนิค ในฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสายลำโพงกับเพาเวอร์แอมพ์ คำถามที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอๆ คือ อยากทราบวิธีต่อซับวูเฟอร์แบบวอยศ์คอยล์คู่ และการบริดจ์เพาเวอร์แอมพ์นั้น มีผลกับลำโพง และเพาเวอร์แอมพ์อย่างไร รวมถึงวิธีการเลือกสายไฟ สายกราวน์ด ให้เหมาะสมกับเพาเวอร์แอมพ์ คอลัมน์นี้มีคำตอบให้กับคุณ
อะไร คือ โหลดที่ 4 โอห์ม, 8 โอห์ม ?
ความต้านทาน (อิมพีแดนศ์ เป็นการวัดความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าสลับ) ที่เห็นได้จากระบบเสียงติดรถยนต์ โดยการต่อลำโพงกับเพาเวอร์แอมพ์ เมื่อต่อโหลด (ตัวลำโพง) กับเพาเวอร์แอมพ์ลดลง เช่น ความต้านทานปกติ
4 โอห์ม แต่ต่อให้เหลือเพียง 2 โอห์ม ทำให้กำลังขับเพาเวอร์แอมพ์เพิ่มสูงขึ้น 1 เท่า ในกรณีนี้เพาเวอร์แอมพ์จะต้องถูกออกแบบให้สามารถขับได้ที่โหลด 2 โอห์ม ไม่อย่างนั้นจะทำให้เพาเวอร์แอมพ์เสียหาย ซึ่งในปัจจุบันเพาเวอร์แอมพ์ CLASS AB สามารถต่อได้ที่โหลด 2 โอห์ม และแอมพ์ประเภท CLASS D ส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้สามารถต่อได้ที่โหลดต่ำสุดถึง 1 โอห์ม และบางยี่ห้อต่อได้ต่ำถึง 0.5 โอห์ม
การต่อลำโพงซับวูเฟอร์กับเพาเวอร์แอมพ์ สามารถต่อได้หลายแบบ ทั้งแบบอนุกรมขนาน หรือผสม โดยที่การต่อลำโพงจะต้องได้ค่าความต้านทานเท่ากับค่าเอาท์พุทของเพาเวอร์แอมพ์ ที่สามารถทำได้ เช่น 1, 2, 4 โอห์ม
ต่อบริดจ์แอมพ์ ได้อย่างไร ?
ก่อนอื่นจะต้องทราบว่า เพาเวอร์แอมพ์ยี่ห้อนี้ออกแบบให้สามารถต่อเล่นบริดจ์ได้ ถ้าหากเพาเวอร์แอมพ์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อต่อเล่นบริดจ์จะทำให้เพาเวอร์แอมพ์ได้รับความเสียหาย โดยปกติการต่อบริดจ์แอมพ์จะใช้ขั้วบวก จาก
แชนแนลหนึ่ง และขั้วลบจากแชนแนลอื่น ส่วนคำแนะนำที่มากับเพาเวอร์แอมพ์จะอธิบายการต่อใช้งาน ถ้าไม่มีก็สามารถสังเกตได้จากเครื่องหมายแสดงขั้วลำโพง บางครั้งจะมีเส้นแสดงการต่อบริดจ์ที่ขั้วลำโพงบนแอมพ์ด้วย
เกิดอะไรขึ้น เมื่อบริดจ์แอมพ์ ?
ในทางทฤษฎี กำลังขับเอาท์พุทของแอมพ์ควรจะเป็น 4 เท่า ตัวอย่างเช่น แอมพ์ขนาด 50 วัตต์x2 แชนแนล เมื่อต่อบริดจ์ควรจะได้กำลังขับ 200 วัตต์x1 แชนแนล แต่ความเป็นจริงที่เห็นจะได้ประมาณ 2/3 หรือ 3/4 ของกำลังขับนี้
ดูได้จากตัวอย่างด้านล่าง
- กำลังขับ 50 วัตต์x2 แชนแนล ในโหมดสเตริโอ ที่ 4 โอห์ม
- กำลังขับ 75 วัตต์x2 แชนแนล ในโหมดสเตริโอ ที่ 2 โอห์ม
- กำลังขับ 150 วัตต์x1 แชนแนล ในโหมดบริดจ์ ที่ 4 โอห์ม
ยกเว้นที่ระบุเป็นอย่างอื่น โดยดูที่เพาเวอร์แอมพ์นั้นว่าออกแบบให้สามารถต่อเล่นในโหมดสเตริโอที่ 2 โอห์ม ได้หรือไม่ และไม่ควรต่อแอมพ์ที่ค่าความต้านทานต่ำกว่าผู้ผลิตกำหนด เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวแอมพ์ได้
วิธีต่อลำโพงแบบขนาน
การต่อสายลำโพงแบบขนานทำได้ตามตัวอย่าง คือ ต่อขั้วบวกที่แอมพ์ไปยังขั้วบวกลำโพง และต่อขั้วลบที่แอมพ์กับขั้วลบลำโพง ตัวอย่างเช่น ลำโพงยี่ห้อ A ที่มีวอยศ์คอยล์ชุดเดียว มีค่าความต้านทาน 4 โอห์ม ในกรณีที่ต้องการต่อให้ได้ความต้านทานรวม 2 โอห์ม จะต้องใช้ลำโพง 2 ตัว โดยใช้วิธีการต่อตามภาพประกอบรูปที่ 5
วิธีต่อลำโพงแบบอนุกรม
การต่อลำโพงแบบอนุกรมจะไม่นิยมทำกัน เพราะทำให้ค่าความต้านทานเพิ่มขึ้นจาก 4 โอห์ม เป็น 8 โอห์ม ทำให้ได้เสียงดนตรีเบาลงถึง 3 ดีบี แต่จะนิยมใช้กับลำโพงที่มีวอยศ์คอยล์ 2 ชุด เช่น วอยศ์คอยล์คู่แบบ 2+2 โอห์ม เมื่อต่ออนุกรมแล้วจะได้ความต้านทานรวมเท่ากับ 4 โอห์ม ซึ่งเป็นค่าอิมพีแดนศ์ปกติในการทำงานของเพาเวอร์แอมพ์
อะไร คือ ลำโพงวอยศ์คอยล์คู่ ?
ลำโพงวอยศ์คอยล์คู่ หรือ DVC (DUAL VOICE COIL) เป็นลำโพงที่มีวอยศ์คอยล์ 2 ชุด โดยพันขดลวดทองแดง หรือขดลวดอลูมิเนียมบนแกนวอยศ์คอยล์ ซึ่งวอยศ์คอยล์ทั้ง 2 ชุดมีค่าความต้านทานเท่ากัน สำหรับการต่อวอยศ์คอยล์คู่แบบอนุกรม และขนาน มีตัวอย่างการต่อตามภาพประกอบรูปที่ 6
อะไร คือ BI-AMPING ?
BI-AMPING อ้างถึงการใช้เพาเวอร์แอมพ์ขับความถี่ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ลำโพง 3 ทาง ประกอบด้วย ลำโพงทวีเตอร์ และมิดเรนจ์ โดยใช้เพาเวอร์แอมพ์ขับ 1 ตัว และเพาเวอร์แอมพ์ที่มีกำลังขับมากกว่าสำหรับขับลำโพงวูเฟอร์อีก 1 ตัว ซึ่งการจัดระบบ BI-AMPING จะต้องใช้แอคทีฟ ครอสส์โอเวอร์ในตัวแอมพ์ตัดความถี่ให้เหมาะสมกับลำโพงแต่ละตัวด้วย
ใช้ขนาดสายเท่าไร ?
ตารางภาพในบทความนี้ สามารถใช้ตรวจสอบขนาดสายไฟ, กระแส และความยาวของสายที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น เพาเวอร์แอมพ์ยี่ห้อนี้ระบุ ฟิวส์ขนาด 60 แอมพ์ (หรือ 30 แอมพ์x2) เมื่อลากสายไฟจากแบทเตอรีหน้ารถไปที่ห้องเก็บของด้านหลัง มีความยาวประมาณ 14 ฟุต เทียบจากตารางให้ใช้สายไฟเบอร์ 4 GAUGE สำหรับสายกราวน์ดใช้เบอร์เดียวกันด้วย โดยมีคำแนะนำการต่อสายกราวน์ดไม่ควรยาวเกินกว่า 1.5 ฟุต ถ้ามีเพาเวอร์แอมพ์มากกว่า 1 ตัว ให้ต่อจุดกราวน์ดที่ตัวถังรถยนต์จุดเดียว เพื่อป้องกัน GROUND LOOP (กระแสไหลวนในสายดิน) ซึ่งทำให้เกิดเสียงรบกวนในระบบเครื่องเสียงติดรถยนต์
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : เทคนิค(car)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88526