โค้งอันตราย
ยังหรูอยู่
ในที่สุด ตลาดรถยนต์ประเทศไทย ก็ก้าวมาถึงยอดการขายเกือบล้านคัน เรียบร้อยอีกครั้ง เป็นยอดรวมทั้งหมด 9 เดือนของปี 2555 ทำได้ 990,943 คัน เพิ่มขึ้นถึง 47.7 % เรียบร้อย
แค่เดือนกันยายนเพียงเดือนเดียว ขายกันทั้งตลาด 131,457 คัน เพิ่มถึง 51.1 %
ก็เตรียมเฮฮากันปลายปีนี้โดยพรั่งพร้อมถ้วนหน้า เพราะภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 นี้ ก็จะเป็นวันขีดเส้นตายของโครงการประชานิยม รถคันแรก ที่จะต้องจองซื้อกันให้เรียบร้อย นั่นก็แสดงว่า ยอดจองในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 29 จะต้องสะพรั่งอีกเช่นเคย
เหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะได้เฉลิมฉลองกันแน่นอน
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากภาคการผลิต ที่ทำสถิติผลิตได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยผลิต 9 เดือน ได้ 1.7 ล้านคัน ทำให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 1 ใน 10 ของโลก จากปีก่อนที่อยู่ในอันดับที่ 14 แซงหน้าประเทศสเปน ฝรั่งเศส รัสเซีย อิหร่าน เนื่องจากประเทศดังกล่าว ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตหนี้สินยูโรโซน
มาดูกันว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกในปี 2554 อันดับ 1 จีน ยอดผลิต 18.4 ล้านคัน 2. สหรัฐอเมริกา 8.6 ล้านคัน 3. ญี่ปุ่น 8.4 ล้านคัน 4. เยอรมนี 6.3 ล้านคัน 5. เกาหลีใต้ 4.6 ล้านคัน 6. อินเดีย 3.9 ล้านคัน 7.บราซิล 3.4 ล้านคัน 8. เมกซิโก 2.6 ล้านคัน 9. สเปน 2.3 ล้านคัน 10. ฝรั่งเศส 2.29 ล้านคัน 11. แคนาดา 2.1 ล้านคัน 12. รัสเซีย 1.9 ล้านคัน 13. อิหร่าน 1.6 ล้านคัน 14. ไทย 1.47 ล้านคัน 15. อังกฤษ 1.46 ล้านคัน
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เอง ก็คาดการณ์กันออกมาแล้ว ว่าในปีนี้ เราจะสามารถผลิตรถยนต์ในระดับ 2.2-2.3 ล้านคัน
ส่วนปีหน้านั้น ค่ายรถยนต์หลายเจ้า ก็เร่งเพิ่มกำลังการผลิตด้วยการสร้างโรงงานใหม่ ที่จะค่อยๆ เพิ่มการผลิตตามการก่อสร้าง แต่จะเห็นตัวเลขได้เต็มๆ ก็ปี 2557 โน่น
ทีงี้ไม่เห็นมีใครพูดเรื่อง ดีทรอยท์กันอีกเลย เหงาจัง
คุยเรื่องที่เราจะต้องถูกผลกระทบสักหน่อย นั่นคือ เรื่องที่ประเทศกรีก พึ่งพาความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศ ภายใต้เงื่อนมาตรการรัดเข็มขัดที่เคร่งครัด รวมไปถึงการปรับลดเงินเดือน และเพิ่มอายุการเกษียณงาน เพื่อแลกกับเงินกู้รอบที่ 2 จำนวน 3.15 หมื่นล้านยูโร หรือ 4.06 หมื่นล้านดอลลาร์ จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอมเอฟ) ซึ่งถูกเลื่อนติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
และถ้าหากเกิดการถอนตัวออกจาก ยูโรโซน อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจยุโรปและอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ตลอดทั้งยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ ก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป แม้ว่าจะกระทบถึงบ้านเราน้อยมาก แต่ระวังไว้ก่อนก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
แต่เรื่องที่เป็นกังวลสำหรับผู้ใช้รถยนต์เก่า ที่หันมาเติมน้ำมันเบนซิน 91 จากที่เดิมเคยเติมแต่ เบนซิน 95 ก็คือ การที่หลวงท่านจะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแกสโซฮอลมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ปริมาณการใช้เอธานอลเพิ่มขึ้นอีก 800,000-1,000,000 ลิตร/วัน และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับประโยชน์จากการปลูกพืชพลังงานด้วย
ก็เหมือนกับมัดมือชก ให้เลือกเอา ว่าจะเติมน้ำมันประเภทไหนต่อไป เพราะพวกที่ยังเป็นเครื่องยนต์ระบบคาร์บูเรเตอร์ ต้องปรับปรุงเครื่องยนต์ให้สามารถรองรับน้ำมันแกสโซฮอลได้ ซึ่งรถรุ่นดังกล่าวหลวงท่านว่ามีจำนวนไม่มากนัก
นั่นก็ต้องเสียเงินปรับปรุงเครื่องยนต์กันบ้าง หรือในทางกลับกัน จะทำให้หันไปคบกับแกสธรรมชาติดีหรือเปล่าเอ่ย
เพราะรัฐมนตรีพลังงาน ก็เปลี่ยนขั้วกันใหม่อีกแล้ว ก็มองภาพกันได้ว่า ราคาแกสแอลพีจี และ ซีเอนจี นั้น ยืนยันว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นราคา จนกว่า ท่าน รมต. คนใหม่จะศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อน
แต่ความต้องการใช้แกสหุงต้ม หรือ แอลพีจี ที่สูงขึ้นในปีนี้เฉลี่ยประมาณ 1.5 แสนตัน/เดือน และคาดว่าในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ปริมาณการนำเข้าอาจขึ้นไปถึงระดับ 1.9 แสนตัน/เดือน และในช่วงต้นปีหน้ามีโอกาสที่จะขึ้นไปถึงระดับ 2 แสนตัน/เดือน ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากความต้องการใช้ที่เติบโตต่อเนื่อง เพราะราคาขายแอลพีจีในประเทศยังต่ำกว่าตลาดโลกอย่างมาก จากการควบคุมราคาแกสหุงต้มภาคครัวเรือนอยู่ที่ 18.13 บาท/ลิตร ในขณะที่ภาคขนส่ง อยู่ที่ 21.38 บาท/กก. และภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 30.13 บาท/กก.
ก็ต้องดูนโยบายของท่านรัฐมนตรีคนใหม่ ว่าจะกล้าแตะเรื่องนี้ได้มากขนาดไหน
ถัดไป ขอรายงานโครงการประชานิยม ของรัฐบาลชุดที่ยังไม่ได้ปรับ ครม. ก่อน โดยท่านกำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.005 โดยมีน้ำหนัก ในอัตราภาษี 0.005 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ในอัตราภาษี 0.005 บาท/ลิตร ออกไปอีก 1 เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2555
แถมด้วยมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง เป็นระยะที่ 11 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2556 ก็คือ รถเมล์ฟรี และรถไฟฟรี
สองรายการนี้ ต้องควักกระเป๋า โดย ขสมก. กู้เงินในวงเงิน 1,512,000,000 บาท รฟท. กู้เงินในวงเงิน 555,000,000 บาท ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่าย เพื่อชดเชยเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เกิดขึ้น ให้กับ 2 หน่วยงาน ต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นจะเกิดภาระงบประมาณในปีงบประมาณปี 2557 จำนวน 2,108.3400 ล้านบาท
นั่นก็คือภาษีที่เราๆ ท่านๆ ควักกระเป๋าจ่ายเข้าหลวงนะครับ โปรดอย่าลืม
ส่วนวิธีการถอนขนห่าน เพื่อเอาไปโป๊ะงบประมาณในอนาคตนั้น รอให้ปรับ ครม. กันให้เสร็จสิ้นก่อน รับประกันคุณภาพได้ว่า ไม่ช้าก็เร็ว ได้เห็นกันแน่นอน
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88309