รู้ลึกอุปกรณ์
ไฮ-ลิฟท์ แจค
ไฮ-ลิฟท์ แจค (HI-LIFT JACK) แท่งเหล็กทรงยาวที่หลายวงการมักคุ้นในชื่อ "แม่แรงดีดบ้าน" สำหรับขาลุยป่านักเที่ยวธรรมชาติตัวยง อุปกรณ์ชนิดนี้เป็นได้มากกว่าแม่แรงไว้ยกรถโฟร์วีส์ดไรฟล้อโต เพื่อถอด-เปลี่ยนยางในพื้นที่ทุรกันดาร แท้จริงคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือภายใต้ชื่อนี้ ต้องบอกว่าคับแก้วเลยทีเดียว
หลายท่านมีความเข้าใจว่า ไฮ-ลิฟท์ แจค คือ อุปกรณ์สำหรับใช้เพียงเพื่อการเปลี่ยนยางสำหรับรถยนต์ที่มีขนาดความสูงมากๆ หรือรถที่มีการเลือกใช้ยางโอเวอร์ไซซ์ ซึ่งมีความสูงของบริเวณด้านใต้พื้นรถ (GROUND CLEARANGE) ที่มากเกินกว่าระดับการยกของแม่แรงทั่วไป ในหลายวงการ ชื่อของเจ้า ไฮ-ลิฟท์ แจค โดยเฉพาะในวงการก่อสร้าง มักขนานนามเจ้าแม่แรงร่างสูงเพรียวนี้ในชื่อต่างๆ แต่ที่เราคุ้นหูกัน จะได้ยินในชื่อ "แม่แรงดีดบ้าน" (หลังวิกฤตมหาอุทกภัยเมื่อปีก่อน หลายท่านเริ่มคุ้นหน้าตากันบ้างแล้ว) หากอยากศึกษาหาข้อมูลด้านประโยชน์การใช้งาน ที่มากกว่าการเป็นแท่งเหล็กไว้ยกรถ และเข้าใจวิธีการใช้งานบนพื้นฐานที่เข้าใจง่าย รวมถึงการคบหาอุปกรณ์ชุดนี้ให้ใช้งานปลอดภัย ควรปฏิบัติเช่นไร ได้เวลาล้วงลึกกันแล้วครับ
ส่วนประกอบ และหลักการทำงาน
ไฮ-ลิฟท์ แจค จะอาศัยทฤษฎีง่ายๆ ของหลักการผ่อนแรงยก แบบ "ไม้คานงัด" โดยอาศัยชิ้นส่วนต่างๆ ดังนี้
ชุดแขนคันโยก ทำหน้าที่เป็นต้นทางในการรับกำลังจากแรงกดของผู้ใช้ อาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกช่วยผ่อนแรงกดลงในแนวดิ่ง ส่งผ่านกำลังสู่แขนโยกที่มีขนาดยาวเสมือนชุดไม้คานงัด ซึ่งการโยกแขนบังคับในแต่ละครั้ง จะได้รับการถ่ายทอดแรงยกในแนวตั้ง เปลี่ยนทิศทางการส่งแรงเป็นแนวหมุนรอบตนเอง ผ่านจุดหมุนของชุดฟันเฟืองที่มีลักษณะเหมือนฟันจักร
เรือนเสื้อกระเดื่องชุดยก ในการโยกแต่ละครั้ง ชุดกระเดื่องจะหมุนชุดเฟืองให้ขยับแขนยก ไฮ-ลิฟท์ แจค เลื่อนระดับขึ้นทีละช่อง ที่มีขนาดและระยะห่างเท่าๆ กัน ซึ่งมีอยู่ตลอดแนวแกน จนกว่าแขนยกจะสัมผัสกับจุดขึ้นแม่แรงของตัวรถ ยกรถให้ล้อสูงตามระดับที่ผู้ใช้ต้องการ การบังคับควบคุมการยกขึ้น/ลง
ชุดคันโยกปรับการลอคทิศทางขึ้น/ลง สามารถปรับการบังคับทิศทางการขึ้น/ลง ที่อาศัยเพียงชุดสลักลิ่มบังคับเปลี่ยนทิศการหมุน อุปกรณ์ชุดนี้หากปรับกระเดื่องให้อยู่ในตำแหน่งปลดลอค หรือกดลง แล้วชุดเฟืองไม่ยอมปรับการทำงาน ผู้ใช้ควรกดแขนโยกขึ้น และลงสักเล็กน้อย ด้วยความระมัดระวัง ชุดเฟืองก็จะปลดแนวการหมุนมาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งทั้งหมดของชุด ไฮ-ลิฟท์ แจค จะอยู่บนฐานรองที่มีลักษณะเป็นเหล็กหล่อทรง T-BEAM แบบหัวกลับ โดยส่วนล่างจะแผ่เป็นแป้นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อใช้เป็นฐานรับน้ำหนักที่มั่นคง เพื่อไม่ให้ ไฮ-ลิฟท์ แจค จมเมื่อมีน้ำหนักมากด หากต้องใช้งานบนพื้นที่อ่อนนุ่ม
วิธีใช้ และข้อควรระวัง
ในการใช้งาน ไฮ-ลิฟท์ แจค เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุขณะใช้งาน และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้ และผู้ช่วยข้างเคียง ประการแรก ในการใช้ชุด ไฮ-ลิฟท์ แจค ยกหรือลดระดับการยก การจับแขนคันโยก ไฮ-ลิฟท์ แจค ผู้ใช้จะต้องยืนหันข้างเสมอ อย่ายืนโยก ไฮ-ลิฟท์ แจค ทางด้านหน้าแขนโยก เพราะในการยก ไฮ-ลิฟท์ แจค ขึ้น เมื่อมีน้ำหนักรถมากด จะมีแรงดีดอย่างรุนแรง จนอาจเกิดการบาดเจ็บจากการตีกลับที่รุนแรง
หากใช้อย่างประมาท และในการปรับชุดกระเดื่องปรับทิศทางการยกขึ้น/ลง ผู้ใช้จะต้องกดแขนโยกให้มั่นคงตลอด ควรใช้คีม หรือค้อน พร้อมน้ำมันเครื่อง (ถ้าหาไม่ได้ ใช้น้ำยาล้างจานก็ได้) เป็นอุปกรณ์ช่วยในการปรับ เพื่อลดการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับนิ้วมือ และฝ่ามือ จากการหนีบของขากระเดื่อง รวมไปถึงการขึ้นชุด ไฮ-ลิฟท์ แจค ทุกครั้ง ควรหาจุดขึ้นแม่แรงที่แข็งแรง และมั่นคง ป้องกันการเสียหายของรถ และป้องกันอุบัติเหตุจากจุดขึ้นแม่แรงที่ไม่แข็งแรง
นอกเหนือจากข้อมูลที่ได้กล่าวไปในเบื้องต้น ไฮ-ลิฟท์ แจค ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานแทนอุปกรณ์กู้ภัยอื่นๆ ได้อีกมากมาย อาทิเช่น
ใช้แทนวินช์ เพื่อการดึงรถให้ขยับผ่านอุปสรรค ในกรณีที่ชุดวินช์เกิดขัดข้อง โดยการเปลี่ยนทิศทางแรงยกในแนวตั้ง ปรับมาอยู่ในแนวระนาบ (แนวนอน) อาศัยแรงโยกจากผู้ใช้เป็นต้นกำลังในการใช้งาน
ใช้แทนชุดคานลากรถ สำหรับช่วยเหลือรถของเพื่อนร่วมทริพ ให้สามารถเดินทางถึงที่หมาย ก่อนทำการซ่อมแซม รวมไปถึงส่วนประกอบต่างๆ ของ ไฮ-ลิฟท์ แจค ที่มีขนาดใหญ่ ยังสามารถถอด-ประกอบได้
ดังนั้นจึงสามารถนำชิ้นส่วนต่างๆ ของอุปกรณ์มาใช้ดามจุดชำรุดต่างๆ ของตัวรถที่เกิดความเสียหาย เพื่อช่วยให้รถสามารถเดินทางออกจากป่า หรือถึงจุดหมายจนซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของรถได้ เป็นต้น
พอจะถึงบางอ้อกันแล้วนะครับ กับการคิดจะพกพา หรือเลือกซื้อหาเจ้าอุปกรณ์ทุ่นแรง ไฮ-ลิฟท์ แจค นี้ มาช่วยยกรถร่างโย่ง แต่หากคุณ คือ ขาฮาร์ดคอร์นักผจญไพรตัวจริง ไม่ผิดหวังครับ หากจะคบหาไว้เป็นเพื่อนทุ่นแรง
เรื่องโดย : พันทาง
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ลึกอุปกรณ์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88092