โลกติดล้อ
รถประหยัดพลังงาน
เพื่อนนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมของผู้เขียน ส่งอีเมล์เก๋ากึ๊กอันหนึ่งมาให้ เป็นเรื่องการค้นคว้าวิจัยรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเมื่อซัก 20 ปีที่แล้ว อีเมล์อันนั้นที่ว่าเก๋ากึ๊ก มีข้อความที่เต็มไปด้วยการมองโลกในแง่ร้าย มันสื่อว่าการค้นคว้าวิจัยรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ถูกบริษัทน้ำมันสกัดไม่ให้เดินหน้าต่อไป เพราะบริษัทน้ำมันเหล่านั้นสูญเสียผลประโยชน์ผู้เขียนเกรงเพื่อนคนนี้ ยังติดค้างอยู่ในอารมณ์มองโลกในแง่ร้าย จึงส่งบทความ และข่าวคราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับความคืบหน้าของรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าไปให้เป็นการใหญ่ เพื่อนคนนี้เป็นศิลปิน วันๆ เธอเอาแต่ปั้นถ้วยชาม คงไม่ค่อยมีโอกาสอัพเดทข่าวความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์สักเท่าไร ป่านฉะนี้เธอคงสบายใจขึ้นบ้างแล้ว เพราะปัจจุบันบริษัทน้ำมันยังทำตนเป็นจระเข้ขวางคลองอีกต่อไปไม่ไหวหรอก เพราะบริษัทรถยนต์ต่างๆ รวมทั้งบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ต่างขะมักเขม้นพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้ากันแบบไม่มีใครยอมแพ้ใคร ภายใน 10 ปีเราจะมีรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าวิ่งกันให้ขวักไขว่ ตัวเพื่อนศิลปินคนนี้ อาจเป็นคนแรกๆ ที่ไปซื้อหามาขับด้วยจิตสำนึกที่เปี่ยมไปด้วยความรักในสิ่งแวดล้อมก็เป็นได้ พูดก็พูดเถอะนะคะ ถ้าถามว่าคนเราจะขับรถใช้พลังงานไฟฟ้าสักคัน โดยเฉพาะคนไทย จะคิดถึงสิ่งไรก่อน ระหว่าง 1 ต้องการดูแลสิ่งแวดล้อม 2 ประหยัดน้ำมัน 3 ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำด้านความคิด คำถามนี้ หากถามคนในยุโรป จะได้คำตอบว่า เพราะต้องการดูแลสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าถามคนไทย จะได้รับคำตอบที่ต่างกัน คนไทยคำนึงถึงความประหยัด และอยากได้ชื่อว่าเป็นผู้นำความคิดเสียเป็นส่วนใหญ่ จะเห็นได้จากรถไฮบริดซึ่งขายดิบขายดีในเมืองไทย จนผู้ผลิตเองก็คาดไม่ถึง กว่าร้อยละ 90 ของคนที่ขับรถไฮบริดต้องการแสดงตัวว่าเป็นผู้นำความคิด เพราะคนเหล่านี้ เขามีเงินเติมน้ำมันกันทั้งนั้น และความประหยัดไม่ใช่ประเด็นแรก เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนเพิ่งได้ฤกษ์นำรถไปเปลี่ยนระบบเชื้อเพลิงเป็นใช้แกส แอลพีจี หลังจากเกร็งอยู่นาน ด้วยความกลัวโน่นนี่สารพัด เครื่องจะพัง เติมไม่สะดวกบ้างล่ะ แต่หลังจากติดตั้งมาแล้ว ก็บอกกับตัวเองว่า รู้งี้ติดซะตั้งนานแล้ว เพราะสบายกระเป๋าเหลือหลาย เดือนหนึ่งเก็บเงินที่เคยใช้เติมน้ำมันไปทำอย่างอื่นได้ตั้งเยอะ ความอคติทั้งหลายหายไป เช่น ความไม่สะดวกในการหาปั๊มเติมก็ไม่มี มันบริหารจัดการได้ค่ะ และบัดนี้ก็ถึงเวลาที่ผู้เขียนคิดว่า หากจะซื้อรถคันต่อไป รถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าก็จะเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้เขียน อย่างเช่น รถ นิสสัน ลีฟ รถ นิสสัน ลีฟ มีราคาจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา 35,000 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือถ้าคูณเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1.05 ล้านบาท ราคาถูกกว่ารถไฮบริดที่วิ่งอวดโฉมอยู่บนถนนในกรุงเทพ ฯ เสียอีก นิสสัน ลีฟ เปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก เมื่อเดือน สิงหาคม 2552 ที่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ นิสสัน ใจกลางเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น นิสสัน ใช้โรงงาน อปปามะ ในเมือง โยโกสุกะ จังหวัด คะนะกะวะ ชานกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นโรงงานเก่าที่ได้รับการปรับปรุงสายการผลิต เพื่อรองรับการผลิตรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้โดยเฉพาะ และนับตั้งแต่เปิดตัว นิสสัน ลีฟ จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นกับประเทศสหรัฐอเมริการวมกันมากกว่า 20,000 คัน และอีกกว่า 2,000 คัน ที่จำหน่ายในยุโรป โดยตัวเลขยอดจำหน่ายนี้ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน ปี 2554 สื่อมวลชนจากประเทศไทยก็ได้มีโอกาสไปทดสอบ นิสสัน ลีฟ ที่งานมหกรรมยานยนต์โตเกียว และในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา นิสสัน ก็ได้นำมาให้สื่อมวลชนไทยได้ทดสอบกันที่โรงแรม โนโวเทล สุวรรณภูมิ โดยความรู้สึกของสื่อมวลชนที่ได้ทดลองขับ นิสสัน ลีฟ ค่อนข้างจะเป็นบวก จุดเด่นสำคัญของ นิสสัน ลีฟ ในความรู้สึกของสื่อไทยหลักๆ มีอยู่ 5 ข้อ คือ ระบบขับเคลื่อน ที่จะไม่มีการปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศ (ZERO EMISSION) ราคาไม่แพงจนเกินเอื้อม ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจเป็นเจ้าของ รูปลักษณ์ภายนอกสวยงามดึงดูดใจ ชาร์จไฟ 1 ครั้ง สามารถใช้งานได้มากที่สุดถึง 160 กม.และเชื่อมต่อเข้ากับระบบจัดการจราจรอัตโนมัติ ADVANCED INTELLIGENT TRANSPORTATION (IT) ได้ นิสสัน ลีฟ ใช้กำลังไฟจากแบทเตอรีลามิเนท ลิเธียม-ไอออน แบบบาง 48 โมดูล 192 เซลส์ (4 เซลส์ ต่อ 1 โมดูล) ขนาด 360 โวลท์ ให้พลังงานได้ 24 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ซึ่งเป็นแบทเตอรีที่ได้รับการพัฒนาและผลิตขึ้น จากความร่วมมือกันระหว่าง นิสสัน กับ บริษัท เอนอีซี (NEC) โดยทีมวิศวกรใช้เวลาในการพัฒนาระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบนี้นานถึง 20 ปี โดยมีการติดตั้งกระจายกันอยู่บริเวณพื้นรถ ไม่ว่าจะเป็น ใต้ห้องโดยสารด้านหน้า ใต้เบาะนั่ง รวมถึงพื้นห้องโดยสารด้านหลังการชาร์จไฟ 1 ครั้ง จะสามารถใช้งานได้ในระยะทางสูงสุด 160 กม. (100 ไมล์ ในมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา US LA4 MODE หรือ 175 กม. ในมาตรฐาน NEDC (ของยุโรป) สำหรับสื่อมวลชนจากต่างประเทศส่วนใหญ่ที่ได้ทดลองขับ นิสสัน ลีฟ และ เชฟโรเลต์ โวลท์ ซึ่งเป็นคู่แข่งกันโดยตรง เสียงตอบรับของสื่อมวลชนฟากตะวันตกส่วนใหญ่ดูจะปลื้มกับ เชฟโรเลต์ โวลท์ มากกว่า เชฟโรเลต์ โวลท์ ราคาจำหน่ายสูงกว่า คือ 40,280 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือกว่า 1.2 ล้านบาท โดยมีเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 1.4 ลิตร ทำหน้าที่ชาร์จแบทเตอรี เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ขณะเดียวกันก็ได้ภาพลักษณ์ของ "การเป็นรถยนต์ในยุคใหม่ที่ประหยัดพลังงาน ดูแลสิ่งแวดล้อม" ไปด้วยพร้อมกัน เมื่อสื่อมวลชนตะวันตกโดยเฉพาะทางฟากฝั่งสหรัฐอเมริกาเชียร์กันว่าดี เชฟโรเลต์ โวลท์ ก็เลยขายดีกว่า นิสสัน ลีฟ แต่ถึงอย่างไร ค่าย นิสสัน ก็คงจะไม่เปลี่ยนแนวคิด และยังคงยืนยันความเป็นรถพลังงานไฟฟ้าพันธุ์แท้ต่อไป เพราะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแรกที่เข้าสู่ตลาด และขณะนี้ นิสสัน เองกำลังอยู่ในระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อจะนำ นิสสัน ลีฟ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจัง ซึ่งหมายถึงการเตรียมพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และการให้ความรู้แก่ผู้บริโภค แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่เร็วกว่า 2 หรือ 3 ปี แน่นอน
เรื่องโดย : เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : โลกติดล้อ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87195