รู้ทันเทคนิค
มาดใหม่ของ กระทิงดุ
คนรุ่นใหม่ๆ น้อยคนนักจะรู้ว่า ภายใต้โลโก กระทิงดุ จะมีรถอีกอนุกรมหนึ่งซึ่งแตกต่างไปจากที่เราเคยเห็น นั่นก็คือ รถในอนุกรม เอสยูวี ! ไม่ต้องตกใจมันเคยเกิดขึ้นแล้ว มันไม่น่าแปลกที่ค่ายรถยนต์แบบนี้จะหันมาทำรถเอสยูวีกับเขาบ้าง และถ้าทำก็ต้องไม่ธรรมดา ต้องโหด เร็ว แรง ดุดัน ตามสไตล์ของ ลัมโบร์กินี ลองคิดดูว่าใต้ฝากระโปรงของรถเอสยูวี ตรากระทิงดุ จะมีสักกี่แรงม้า ? 300...400...หรือ 500 มันไม่พอหรอกสำหรับแรงม้าแค่นั้น เมื่อมันเป็นกระทิงโทนที่ปราดเปรียว แม้เรือนร่างจะใหญ่โต แต่อย่างน้อยๆ มันต้องทะลุระดับ 600 แรงม้า ถึงจะสาสม อูรุส (URUS) คือ ชื่อของเจ้ากระทิงดุ คันนี้
เทคโนโลยีโครงสร้างตัวถัง
แอลเอม 002 (LM002) คือ รุ่นพี่ของมันที่เปิดตัวในปี 2529 เจ้า แอลเอม 002 คือ กระทิงเปลี่ยวที่สามารถบุกตะลุยเข้าไปในป่าจริงๆ ได้ ด้วยความสามารถในแบบรถโฟร์วีลดไรฟ กับพละกำลังมหาศาลจากเครื่องยนต์ วี 12 สูบ ที่มีกำลังสูงถึง 450 แรงม้า แน่นอนว่ารถลักษณะเดียวกันในยุคนั้นย่อมเทียบกันไม่ติด แม้จะเป็นรถเอสยูวี แต่สามารถไต่เพดานความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กม./ชม. ภายในห้องโดยสารหรูหรา สมกับเป็นรถเอสยูวีระดับตำนาน แอลเอม 002 ทำการผลิตจนถึงปี 2536
เทคโนโลยีในการผลิตถูกถ่ายทอดมาจากซูเพอร์คาร์ของค่าย ทำให้เจ้า อูรุส คันนี้ไม่ธรรมดา เทคโนโลยีของตัวถังชั้นสูง ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบา ก้าวสำคัญที่ทำให้สิ่งนี้ประสบความสำเร็จ คือ การผสมวัสดุเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม ทั้งส่วนของโครงสร้างและตัวถัง เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์อันล้ำหน้า และการทำอลูมิเนียมน้ำหนักเบาเข้ามาช่วยเสริม
แน่นอนว่าเทคโนโลยีการสร้างตัวถังแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ ลัมโบร์กินี ไปเสียแล้ว โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ และอลูมิเนียม นอกเหนือจากเรื่องน้ำหนักที่ลดลงแล้ว ยังสามารถออกแบบรถให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำได้ โครงสร้างแบบอัดขึ้นรูปทำให้ออกแบบส่วนอื่นๆ ของตัวรถได้ง่าย ทั้งความงดงาม และการให้ตัวที่ดี เมื่อมีแรงบิดกระทำต่อโครงสร้างมหาศาล ลองหลับตานึกภาพรถ ฟอร์มูลา วัน ดูก็ได้ เพราะมันใช้เทคโนโลยีการผลิตโครงสร้างแบบเดียวกัน นั่นหมายความว่า เมื่อมันวิ่งอยู่บนไฮเวย์ ความสูงของตัวรถไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการทำความเร็วไล่ซูเพอร์คาร์ที่เข้ามาแหยมกับมัน และที่เหนือกว่าซูเพอร์คาร์ ก็คือ มันสามารถกระโจนลงทางฝุ่นได้แบบไม่ต้องลังเล
ภายนอกทนทาน ภายในชั้นดี
ล้อที่มีความคงทนแข็งแรง คือ ส่วนที่สำคัญของ ลัมโบร์กินี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นในด้านการขับขี่ของรถเอสยูวีด้วยแล้ว นับว่าสำคัญไม่น้อย นอกจากจะต้องสวยงามแล้วมันยังต้องทนทาน ล้อขนาด 24 นิ้วใหม่ล่าสุด ผสมผสานวัสดุอัลลอย และคาร์บอนไฟเบอร์ ช่วงล่างที่หนึบแน่น รองรับพละกำลัง 600 แรงม้าได้อย่างเชื่องมือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นเรื่องถนัดของค่ายนี้อยู่แล้ว มันช่วยให้การควบคุมในย่านความเร็วสูงทำได้มั่นคง ระบบช่วยการทรงตัวต่างๆ ถูกติดตั้งเข้าไปเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อให้มันสามารถควบคุมได้ง่าย และปลอดภัย
อูรุส ถูกออกแบบมาเพื่อให้มันขับได้ในชีวิตประจำวัน รองรับการใช้งาน 4 ที่นั่ง ภายในไม่แตกต่างจากซูเพอร์คาร์ของค่าย เต็มไปด้วยดีไซจ์นและความล้ำสมัยในการออกแบบ เลือกใช้วัสดุอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ผสมกับโพลีเมอร์ มันจึงขึ้นรูปได้อย่างที่ต้องการ และมีน้ำหนักเบา แม้จะเป็นรถเอสยูวี แต่เมื่อเข้าไปนั่งในห้องโดยสารแล้ว มันคือ ซูเพอร์คาร์ชั้นดีนี่เอง โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ทำมาจาก FORGED COMPOSITE ซึ่งอยู่ภายในทุกส่วน ยกเว้นเพียงบางส่วนที่ตกแต่งด้วยหนังเพื่อเสริมความหรูหรา เบาะนั่งบัคเกทซีทดีไซจ์นสุดล้ำ ก็ใช้เทคโนโลยี FORGED COMPOSITE เช่นเดียวกัน
ดีไซจ์นดุดัน สมรรถนะเกินตัว
อูรุส ถ่ายทอดอารมณ์การขับขี่แบบซูเพอร์คาร์มาเต็มตัว ด้วยฟังค์ชันการเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย ระบบคลัทช์แบบ ดูอัล-คลัทช์ มีขนาดกะทัดรัด และส่งกำลังได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฟังค์ชันอื่นๆ ถูกรวบรวมไว้ตำแหน่งเดียว เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน และไม่มีอะไรมาเกะกะสายตามากจนเกินไป ผู้ขับขี่สามารถส่งข้อมูลต่างๆ ผ่านพโรแกรมบนหน้าจอ TFT ที่อยู่บนด้านหลังของพวงมาลัย
ในส่วนของฟังค์ชันอื่นๆ เช่น ระบบเนวิเกชัน ระบบความบันเทิงต่างๆ และระบบควบคุมอุณหภูมิ จะดำเนินการด้วยหน้าจอสัมผัสที่ติดตั้งอยู่บริเวณปล่องตรงกลาง และหน้าจอสัมผัสก็ยังมีให้สำหรับผู้นั่งเบาะหลังอีกด้วย รวมถึงการเปลี่ยนลักษณะการขับขี่บางอย่างที่เราเคยชิน กระจกมองข้างวันนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว ภาพจะส่งผ่านหน้าจอตรงหน้าผู้ขับขี่ ทำให้ไม่ต้องละสายตาจากถนนเบื้องหน้า ซึ่งช่วยในเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นด้วย
เทคโนโลยีการออกแบบผสมผสานกับศิลปะในการออกแบบ รถของ ลัมโบร์กินี ทุกคัน เปรียบเสมือนการออกแบบผลงานทางศิลปะที่ล้ำยุคล้ำสมัย และทุกคันมีความสมบูรณ์แบบในตัวมันเอง ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจน
ส่วนหน้าของรถแสดงให้เห็นถึงความเป็น ลัมโบร์กินี ด้วยเส้นสาย 3 มิติอันเฉียบคม ดุดันด้วยช่องรับอากาศขนาดใหญ่ ทั้งด้านซ้ายและขวา ไฟหน้าขนาดใหญ่ รูปตัววาย ถูกปรับเปลี่ยนลักษณะการฉายไฟมาเป็นแบบแนวขนาน และด้วยความพิเศษของเทคโนโลยีแอลอีดี ที่ประกอบอยู่ในไฟทั้ง 2 ข้าง โดยแต่ละข้างจะติดตั้งหลอดแอลอีดีคุณภาพสูงถึง 3 อัน ในขณะที่ไฟตัดหมอกแอลอีดี จะถูกติดตั้งอยู่ใต้ช่องรับอากาศขนาดใหญ่ ด้านท้ายยังคงความสปอร์ท และน่าเกรงขาม ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำหน้าที่สั่งสมมานาน ทำให้เจ้า อูรุส กลายเป็นรถเอสยูวีที่ทรงพลัง และยากที่จะตามได้ทัน
เรื่องโดย : พหลฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ทันเทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/86820