รู้ไว้ใช่ว่า
รถราชการทำพิษ
หน่วยงานราชการในบ้านเราเดี๋ยวนี้มีรถยนต์ใช้งานค่อนข้างครบครัน ไล่มาตั้งแต่รถประจำตำแหน่ง จนถึงรถใช้ในกิจการต่างๆ ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่นๆ ไม่ใช่น้อย เคยเห็นที่ปากีสถาน ตำรวจที่นั่นอัตคัดพอสมควรเรื่องรถรา แต่ถ้าเป็นเมกานั่นแหล่มไปเลย รถตำรวจ รถดับเพลิง รถต่างๆ งี้เพียบ มีเรื่องปุ๊บถึงปั๊บ
เคยนั่งรถส่วนตัวไปกับเขา แล้วโดนรถตำรวจเปิดหวอให้หยุด เพราะขับเร็วไปหน่อย ตำรวจจะจอดรถอยู่ด้านหลัง ห่างพอประมาณ เนื่องจากเวลากลางคืน พี่แกส่องไฟใส่สว่างจ้า อีกแป๊บเดียวมีรถอีกคันมาเสริม ตำรวจนายหนึ่งมาทำความเคารพ พูดจาสุภาพ บอกว่ายูขับรถเร็วเกินกำหนด พอได้ใบขับขี่จากคนขับ เขารีบเอาไปตรวจสอบด้วยคอมพิวเตอร์ในรถทันที งานนี้คนขับของเราเป็นสตรี ขับเกินกำหนดนิดหน่อย ประวัติจากการตรวจซึ่งใช้เวลาแค่อึดใจ ไม่เสียหาย เขาจึงผ่อนปรน แค่ว่ากล่าวตักเตือนอย่างสุภาพเช่นกัน
คนขับรถที่นั่งไปด้วยบอกว่า การทำงานทั้งหมด บันทึกวีดีโอพร้อมเสียงไว้ด้วย เพื่อเป็นหลักฐานว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ตำรวจทำงานถูกต้องไหม รถของชาวบ้านเป็นอย่างไร หน่วยงานของเขาเอาไปตรวจสอบได้เสมอ
เอ่ยถึงรถของทางราชการ บ้านเรามีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ถ้ามีเหตุ ชาวบ้านได้รับความเสียหาย อย่าคิดว่าหน่วยงานจะรับผิดชอบง่ายๆ หนีไม่พ้นการค้าความ ปัดความรับผิดไว้ก่อน ไม่เชื่อดูคดีนี้แล้วจะซึ้ง
"นส. ยาย" ชื่อน่าหยิก คงตั้งเพื่อแก้เคล็ดทำให้อายุยืน แต่เธอเจียนตายทั้งๆ ที่ยังสาว เมื่อนั่งรถไปแล้วเจออุบัติเหตุ บาดเจ็บสาหัส รถที่ชนเป็นของกระทรวงแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ส่งเอกสาร คือ "นายใหญ่น้อย" เป็นคนขับ ตอนเกิดเหตุนอกเวลาราชการ ศาลจึงหนีไม่พ้น ต้องออกเหงื่อกันเป็นทิวแถว เพราะหน่วยงานเจ้าของรถปัดความรับผิด
นายใหญ่น้อย ชื่อพิลึกตกเป็นจำเลยที่ 1 กระทรวงเป็นจำเลยที่ 2 นส. ยาย ซึ่งยังเป็นโสดอยู่แท้ๆ ฟ้องทางแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 3 แสนกว่าบาท เรียกดอกเบี้ยอัตราสูงสุด คือ ร้อยละ 15 ต่อปี ไว้ด้วย
เมื่อตรวจฟ้องแล้ว ศาลชั้นต้นรีบยกฟ้อง นายใหญ่น้อย เนื่องจาก นส. ยาย ไม่มีอำนาจฟ้อง ตามที่ พรบ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พศ. 2539 มาตรา 5 วรรค 1 ว่าไว้ ปล่อยให้หน่วยงานเขาเชคบิลล์เองภายหลัง ขึ้นเขียงเฉพาะกระทรวง คือ จำเลยที่ 2 ซึ่งให้การปัดความรับผิดพัลวัน อ้างว่า นายใหญ่น้อย เอารถไปใช้โดยพลการ นอกเวลาราชการ ไม่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน นายจ้างจึงสบายโก๋ ไม่ต้องรับผิดชอบ ขอให้ยกฟ้อง เจอไม้นี้ นส. ยาย ใจคอไม่ดี เกรงจะไม่ได้สตางค์ เนื่องจาก นายใหญ่น้อย คงมีแต่ตัว
ยังดีที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ไม่ยอมให้กระทรวงเจ้าของรถหลบ บังคับให้จ่ายค่าเสียหายเต็มตามฟ้อง แถมยังให้จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่ปี 2547 ที่เกิดเหตุ สืบเนื่องจากจำเลยประวิงคดีมีเจตนาไม่สุจริต ไม่อยากชำระหนี้ละเมิดง่ายๆ
กระทรวงยื่นอุทธรณ์ มั่นใจว่าจะชนะเช่นเดิม เถียงเรื่องดอกเบี้ยอีกด้วยว่าบังคับให้จ่ายแบบโหดมาก
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้ นส. ยาย เดินกะโผลกกะเผลกลงจากศาล ค่อนข้างสบายใจเมื่อชนะอีกตามเคย แต่ยังไม่ได้เงินอยู่ดี
กระทรวงซึ่งเป็นจำเลยรายสำคัญ ถ้าโจทก์ชนะได้เงินวันยังค่ำ ดิ้นรนด้วยการยื่นฎีกา ขอให้ยกฟ้อง เพราะลูกน้องทะลึ่งเอารถไปขับส่งเดช ทั้งๆ ที่ตั้งกฎระเบียบไว้รัดกุม ไม่ได้หละหลวมละเลย
ศาลฎีกากลั้นใจคว้าสำนวนคดีนี้ที่มาถึงคิว พิจารณาแล้วชี้ขาดจนขาดดังนี้
นายใหญ่น้อย คนก่อเหตุให้การแบบมั่วนิ่มโกหกว่า ตนเองไปส่งเอกสารของทางการ ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าหน่วยยานพาหนะ ขณะที่หัวหน้าหน่วยและเจ้าหน้าที่อื่นบอกว่า ไม่ได้มีการให้อนุญาต และตัวเองก็ไม่ได้มาทำงานวันนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายเอกสารก็ปฏิเสธว่า ไม่ได้จัดให้ นายใหญ่น้อย ไปส่งเอกสาร หันไปทางหน่วยงานเจ้าของรถก็ปัด อ้างว่าตามระเบียบการใช้รถราชการ ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ถือว่าหน่วยงานกวดขันอย่างหนัก ไม่ได้ประมาท จึงไม่ต้องรับผิด
แต่เมื่อได้ความชัดว่า ผู้บังคับบัญชาผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง คือ "นส. ผัดหมี่" บอกอยู่โต้งๆ ว่า มีการควบคุมการใช้รถก็จริง แต่ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเก็บรักษากุญแจรถ มาทราบจากการมีหนังสือร้องเรียน ที่หนัก คือ นายใหญ่น้อย คนก่อเหตุ ยอมรับที่ศาลว่า เคยนำรถคันเกิดเหตุไปจอดค้างคืนที่บ้านของตนประมาณ 10 ครั้ง จากการที่ นส. ผัดหมี่ ผู้บังคับบัญชาของ นายใหญ่น้อย เบิกความว่าการใช้รถบางกรณีไม่จำต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากถือปฏิบัติกันมาช้านาน แบบนี้แสดงว่ามีการปล่อยปละละเลย ไม่ควบคุมการใช้รถให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ จนกระทั่ง นายใหญ่น้อย เอารถไปใช้กิจส่วนตัว ไปจอดค้างคืนที่บ้านโดยพลการ จนเกิดเหตุขึ้น ถือว่าเป็นผลละเมิดของหน่วยงาน จากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ต้องรับผิดเต็มๆ ดิ้นไม่หลุดหรอก
ศาลฎีกาจึงยอมเมื่อยอีกตามเคย พิพากษายืนเรื่องค่าเสียหาย แต่พิพากษาแก้เรื่องดอกเบี้ย เพราะยังไม่ถือว่าจำเลยใช้สิทธิไม่สุจริต หรือประวิงคดี จึงไม่บังคับให้จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เอาแค่ร้อยละ 7 ครึ่ง ต่อปีก็พอ
การใช้รถหลวงบางแห่งหละหลวม พอเกิดเหตุก็อ้างเชียวว่า มีกฎระเบียบรัดกุมตั้งหลายชั้น การที่ลูกน้องทะลึ่งเอารถไปก่อเหตุ หน่วยงานจึงไม่ต้องรับผิด ผู้เดือดร้อนเสียหายไปแคะเอาจากคนก่อเหตุก็แล้วกัน ดูเขาอ้าง น่าบิดพุงขนาดไหน
แต่เมื่อได้ความในชั้นศาลว่า มีระเบียบก็จริง แต่หน่วยงานต้นสังกัดละเลย ลูกน้องเอารถไปทำยังไงก็ได้อย่างเช่นคดีนี้ ต้นสังกัดก็เด้งเชือกไม่พ้น ที่แย่คือ กว่าชาวบ้านจะได้เงิน ต้องกัดฟันค้าความไม่รู้กี่ปี เพราะหน่วยงานส่วนใหญ่ไม่แมน ไม่ยอมรับผิดแทบทั้งนั้น อย่างว่า ถ้ายอมรับ หัวหน้าหน่วยก็โดนเข้าไปอีก
สรุป ใครซวยโดนรถของทางราชการมาเสยมาก่อเหตุ สำหรับบ้านเราคงต้องค้าความลูกเดียว ไม่ว่าเราจะมีกี่ลูก ไอ้ที่จะจ่ายแต่โดยดี เมินซะเถอะ พอๆ กับคนธรรมดานั่นแหละ นี่คือเรื่องจริงเลย
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2527/2553
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/86696