ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลุยทางโหด ชมทะเลหมอก
ภูตาจอ ชื่อนี้ตั้งตาม ตาจอ หรือ นายจอ ผู้บุกเบิกทำเหมืองแร่ดีบุกที่ยอดเขาแห่งนี้เป็นคนแรก ตั้งแต่เมื่อ 30 ปี ก่อนยุคที่แร่มีราคาแพง ต่อมาราคาดีบุกตกต่ำ ทำให้เหมืองต่างๆ ถูกปล่อยทิ้งรกร้าง นานกว่า 10 ปี
ในปี 2536 ได้มีการบุกเบิกจัดสรรสถานที่นี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดย อบต. เหล สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์เพิ่งเปิดให้ใช้เส้นทางเมื่อกลางปี 2554 แต่สภาพเส้นทางก็โหด และดิบ จำเป็นที่จะต้องใช้รถโฟร์วีลดไรฟ เป็นพาหนะเท่านั้น
"ชีวิตอิสระ" ฉบับนี้ จะพาไปผจญภัยบนเส้นทางทุรกันดาร เพื่อชมวิวทะเลหมอก ในแดนใต้ที่ ภูตาจอ จ. พังงา
เดินทางกับผู้บุกเบิก
สบายใจหายห่วง
หลังกลับจาก จ. สตูล ผมยังมีอีก 1 ทริพ ที่ท้าทายไม่แพ้กัน นั่นคือ เดินทางไปที่ จ. พังงา เพื่อท่องเที่ยวในสไตล์แคมพิง บนยอดภูตาจอ ชื่อนี้อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไร เพราะเพิ่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ไม่นานนัก
ครั้นจะให้คลำเส้นทางโดยไม่มีไกด์นำพา คงจะยากลำบาก ผมติดต่อกับพรรคพวกที่อยู่ใน จ. ภูเก็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้บุกเบิกเส้นทางขึ้นภูตาจอ เพื่อให้เป็นผู้นำทาง และคอยช่วยเหลือตลอดการเดินทาง ก่อนเดินทางมีคำแนะนำบอกไว้ว่า ถ้าโชคดีไม่เจอฝน รถขับเคลื่อน 4 ล้อเดิมๆ สามารถเดินทางได้สบายๆ แต่หากฝนตก แม้รถที่มีพละกำลังสูงๆ แถมมีอาวุธลับ อย่างเช่น ยางมัด เทอร์เรน ยังทำได้ลำบาก เพราะฉะนั้น ต้องเสี่ยง
นอกจากรถ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ 4x4 ที่ผมนำไปใช้เป็นพาหนะ ยังมีอีก 1 คัน ที่เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแต่งเต็ม มีทั้งวินช์ และยางมัด เทอร์เรน ทำให้สบายใจ ถึงแม้ว่าเส้นทางสมบุกสมบันขนาดไหน อย่างไรการเดินทางครั้งนี้ก็น่าจะถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไม่ทุลักทุเลมากนัก
เตรียมพร้อมก่อนลุย
ทางลูกรัง-ธารน้ำลึก
ล้อรถทั้ง 2 คัน เคลื่อนออกจาก จ. ภูเก็ต มุ่งหน้าเข้า จ. พังงา เพื่อไปยัง อ. กะปง และต่อไปที่ ต. เหล พอเข้าถึงพื้นที่ ต. เหล ตลอดเส้นทางจะมีป้ายบอกทางไปยังภูตาจอ ไม่นานนัก พวกเราก็มาถึงหน้าปากทางเข้า ด้านหน้าจะมีด่านเรียกเก็บค่าบำรุงรักษาเส้นทาง หรือจะเรียกว่า ค่าเหยียบแผ่นดิน ก็ไม่ผิดนัก
สภาพอากาศในวันนี้แจ่มใส ไม่มีเฆมฝนเลยสักนิด ผมได้แต่คิดในใจว่า คงผ่านฉลุย ไม่ต้องมาดึงรถขึ้นเนิน หรือติดหล่มดิน เพราะธรรมชาติเอื้ออำนวย
หลังจากลงมายืดเส้นยืดสายเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ระยะทางข้างหน้าอีก 13 กม. ที่รถทั้ง 2 คัน ต้องฟันฝ่าเพื่อให้ถึงยอดภูตาจอ รถคันหน้าเป็นทีมบุกเบิก คงไม่สะทกสะท้านสักเท่าไร เพราะพวกเขาเดินทางกันจนทะลุปรุโปร่ง แต่ผมก็ยังหวั่นอยู่ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้มาลุยป่าที่ปักษ์ใต้ และอีกอย่างคือ พาหนะที่นำไปเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อเดิมๆ ที่ยังไม่ได้รับการตกแต่ง ยางเป็นแบบไฮเทอร์เรน คงจะทำให้เสียเวลารอ หรืออาจจะต้องได้รับการช่วยเหลืออยู่พอสมควร แต่ไม่มีคำว่าถอยหลัง มาแล้วก็ต้องไปให้สุด
ระยะทางช่วง 6 กม. แรก สภาพเส้นทางเหมือนผืนป่าทั่วๆ ไป ไม่มีฝน แค่เป็นดินลูกรังธรรมดา แต่หากฝนตกเมื่อไหร่ ต้องบอกไว้เลยว่า สาหัสแน่ๆ หลังจากเริ่มต้นด้วยเส้นทางแบบลูกรัง ข้างหน้ามีธารน้ำรอให้ข้ามผ่านเป็นระยะ ผู้นำทางบอกว่า ลุยข้ามได้ แต่ต้องควบคุมคันเร่ง และตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสม ธารน้ำบางช่วงบางตอนนั้น พื้นดินด้านล่างอาจจะไม่แข็ง เพราะฉะนั้นไม่ควรประมาท
ปีนเนินหินชัน
ช่วงล่างสะท้าน-เครื่องในสะเทือน
พวกเราลุยกันมากว่าครึ่งทาง ที่ผ่านมาบอกได้ว่า มันยังจิ๊บๆ เพราะไม่ถือว่าอุปสรรคต่างๆ นั้นจะสร้างปัญหาให้การเดินทาง แต่เส้นทางข้างหน้า ต้องใช้ทักษะการขับขี่ที่นอกจากประสบการณ์การขับขี่แล้ว ยังต้องตั้งสติให้พร้อมรับกับสภาพเส้นทาง เพราะทางที่ใช้นั้นมีพื้นเป็นหิน ก้อนเล็กที่สุด ขนาดประมาณเท่ากำปั้น แถมยังต้องปีนป่ายไปตามไลน์เดิมที่ผู้บุกเบิกได้ทำไว้ นั่นคือ การปีนหิน
การปีนหิน บนเส้นทางขึ้นภูตาจอ ถือว่าสาหัสพอสมควร อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น คือ โชคดีที่ฝนไม่ตก หากฝนตก คงใช้เวลานานโข เนินหินที่ชันและลื่นนั้น ผมจำได้ว่า คณะของเราข้ามภูเขาไปทั้งหมดประมาณ 5-7 ลูก ระบบช่วงล่างของ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ ไม่ต้องคาดเดาว่าน่วมขนาดไหน ส่วนอวัยวะภายในร่างกาย ไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะมันปั่นป่วนจนเกินบรรยาย มีอาการปวดหน่วงๆ ในช่องท้องตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ก็เพลิดเพลินปนหวาดเสียวระคนกันไป
งานงอก
ณ เนินลุงปู
ยังไม่จบสิ้นกับสภาพเส้นทางแบบเนินหินชัน เหลือระยะทางอีกไม่ถึง 5 กม. จะถึงปลายยอดของภูตาจอ สภาพเส้นทางในช่วงนี้จะมีเนินหินที่สูงชันผิดปกติ เรียกว่าโหดที่สุดในเส้นทางก็ว่าได้ ตรงนี้จะมีอยู่ 2 ไลน์ ผมเลือกเอาไลน์ง่าย เพราะรถนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการปีนป่าย แต่สำหรับผู้นำทาง เลือกที่จะไปไลน์ยากและชัน ที่เคยใช้เดินทางอยู่เป็นประจำ
ผมเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง 4L ค่อยๆ เร่งรอบเครื่องยนต์ เพื่อให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ตะกุยหินไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ โดยสายตาเหลือบมองผู้นำทางที่อยู่อีกทางหนึ่ง ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถผู้นำทาง คำรามดังก้องป่า ในใจผมคิดว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรไป เพราะผมไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
เพียงชั่วพริบตา เสียงเครื่องยนต์เงียบหายไป ผู้นำทางก้าวลงจากรถด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี พร้อมตะโกนว่า "รถพี่เข้าเกียร์ขับ 4 ไม่ได้" งานเข้าแล้วครับพี่น้อง โชคยังดีที่รถนำมีวินช์ จึงสรุปกันว่า จะเอารถผมเป็นหลักในการดึงวินช์ เพราะไม่มีต้นไม้ให้เกี่ยว และเป็นเนินชัน
หลังจากที่ดึงกันมาได้ระยะหนึ่ง พอมีช่วงพื้นราบให้พักรถ พวกเราจึงรวมหัวกันอีกครั้ง เพื่อหาบทสรุปว่าจะทำยังไงกันต่อ เพราะเหลือระยะทางและเวลาอีกไม่มาก ก่อนที่จะถึงปลายทางบนยอดภู และก่อนที่แสงของวันจะดับลง รถของผู้นำทางที่เป็นปัญหาอยู่ได้ลองสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมใส่เกียร์ขับ 4 อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้
ลุงปู เจ้าของรถ และผู้นำทางในทริพนี้ได้บอกกับผมว่า "เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะลองขับ 2 ล้อ แล้วค่อยใช้กำลังเครื่องส่งขึ้นไปบนยอดเนิน เพราะเนินนี้ชันที่สุด ต่อไปก็ไม่ชันมาก ไม่ต้องใช้เกียร์ขับ 4 ก็น่าจะพอเดินทางได้" เอาไงเอากัน เพราะแสงใกล้จะหมด กลัวจะไม่ได้งาน ก็กลัว กลัวรถจะพังมากกว่านี้ ก็ยังเป็นปัญหาที่มะรุมมะตุ้มอยู่
ปัญหาเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คลัทช์ไหม้ ไม่สามารถเข้าเกียร์อะไรได้เลย เปิดฝากระโปรงขึ้นมา ควันก็พวยพุ่งออกจากห้องเครื่อง สีหน้าลุงปูเครียดอย่างเห็นได้ชัด พร้อมบ่นพึมพำอยู่ตลอดว่า "มานำทางให้เขาแท้ๆ กลับมางอแงเสียเอง เสียหน้ามั้ย" ผมก็ได้แต่ปลอบใจ พร้อมลากสลิงจากวินช์ของรถลุงปู มาพันไว้กับต้นไม้ และย้ายสัมภาระมาอยู่ท้ายกระบะเพื่อเดินทางกันต่อ หวนกลับไปมอง ก็เห็นแต่รถที่ผูกติดต้นไม้ไว้โดยไร้ผู้ขับขี่ จึงเป็นที่มาของชื่อ "เนินลุงปู" พร้อมพระเอกตัวจริง นั่นคือ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ นั่นเอง
สุดเส้นทางยอดภูตาจอ
งดงามเกินบรรยาย
ผ่านพ้นอุปสรรคหลากหลายมาได้ ปลายทางบนยอดดอยทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะความสวยงามของทะเลหมอกในสถานที่แห่งใหม่ ซึ่งไม่ใช่ยอดดอยในภาคเหนือ แต่ที่นี่คือ ภาคใต้ ผนวกกับสภาพอากาศที่เย็นสบาย ลืมบอกไปว่า อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี บนยอดภูตาจอ จะอยู่ที่ 12-15 องศาเซลเซียส แต่ที่แปลกกว่าดอยอื่นๆ คือ ดินขาว ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ มันเกิดขึ้นเพราะการทำเหมืองดีบุก ก่อนหน้านี้เคยมีชาวมาเลย์ มาลงหลักปักฐานเพื่อจะทำเหมืองดินขาว แต่ถูกชาวบ้านคัดค้านไว้ จึงถอยทัพกลับประเทศไป คงเหลือไว้เพียงซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้าง จนเรียกกันติดปากว่า ลานมาเลย์ จวบจนถึงยุคปัจจุบัน
พอแสงตะวันหมดฟ้า อุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ เทนท์ที่เตรียมไปได้นำออกมากาง พร้อมนั่งล้อมวงคุยถึงเรื่องการเดินทางที่ผ่านมา ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีใครโทษใคร เพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัย อีกไม่นานอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าวในช่วงกลางวัน กลายเป็นความหนาวเย็นในช่วงกลางคืน ต่างคนต่างแยกย้ายเข้านอน รอรุ่งสางของวันใหม่ เพื่อเดินทางลงจากยอดดอย รถของลุงปูที่นำวินช์ยึดกับต้นไม้จอดทิ้งไว้ให้ดูเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำการเดินทางล่องปักษ์ใต้ในครั้งนี้ ผมถือว่าคุ้มค่า เพราะได้ทำอะไรที่ผมถนัดหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องตกปลาที่เล่าไป ในฉบับก่อน รวมถึงขับรถลุยทางโหด ชมทัศนียภาพของทะเลหมอกที่สวยงามไม่แพ้ทีใด
ฉบับหน้า ผมได้รับเชิญให้ร่วมคาราวานทดสอบสมรรถนะรถยนต์ พร้อมชมสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศเวียดนาม จะสนุกและตื่นตา ขนาดไหน โปรดติดตาม !!!
ล้อมกรอบ
รูปแบบการเดินทาง
จากกรุงเทพ ฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านประจวบคิรีขันธ์-ชุมพร-ระนอง จากนั้นก็เข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดพังงา รวมระยะทางทั้งสิ้น 788 กม. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 12 ชม. เลี้ยวขวาตามเส้นทาง พังงา-กะปง อีก 47 กม. จากนั้นมีป้ายบอกเส้นทางขึ้นภูตาจออยู่ตลอดเส้นทาง
หากมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม ให้ลอคพิกัดไปที่ N: 6 51 34.691 E: 99 43 22.92
ขอขอบคุณ
- บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เอื้อเฟื้อระบบนำทางผ่านดาวเทียม GARMIN รุ่น NUVI 2565
- บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เอื้อเฟื้อ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ 4x4 เป็นพาหนะในการเดินทาง
เรื่องโดย : ณัฐเทพ เผ่าจินดา
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/86006