ชีวิตคือความรื่นรมย์
บทกวี ที่ตราตรึงใจ
สายลมแรงแกว่งไผ่ไหวยะยาบ/รังกระจาบโยนแกว่งตามแรงไหว/เหมือนเห่ช้าอารมณ์ยามลมไกว/เคล้าเสียงไผ่ผิวแผ่วแว่วจำเรียง/พ่อแม่นกกกถนอมกล่อมลูกน้อย/หวนละห้อยหวิวหวานกังวานเสียง/นกน้อยนอนซอนแอบอยู่แนบเคียง/ ซึ้งสำเนียงน้ำคำแม่รำพัน/ลูกหลับนอนผ่อนเพลียเสียเถิดเจ้า/แม่จักเฝ้าเห่กล่อมถนอมขวัญ/รังน้อยนี้ที่ชื่นทุกคืนวัน/รับสุขสันต์กันมาประสาเรา/จงหลับนอนเคียงข้างเหนือฟางฟูก/หลับเถิดลูกอย่าละห้อยจะหงอยเหงา/รังน้อยนี้มีรักพำนักเนา/คอยแบ่งเบาเงาร้อนให้ผ่อนเย็น/พ่อแม่ทนขนคามาสอดสอย/ก่อรังน้อยรังนี้ที่ลูกเห็น/ต้องทนยากตรากตรำเหลือลำเค็ญ/รังนี้เป็นเช่นแหล่งรวมแรงใจ/หาสุขอื่นชื่นถึงหนึ่งในร้อย/เทียบรังน้อยเรานี้หาที่ไหน/มีรักห้อมหอมกรุ่นอบอุ่นไอ/มีลมไกวไผ่ขับให้หลับนอนในการเดินทาง บางครั้งเราไม่อาจเดินตรงได้ทันทีเพราะมีอุปสรรคนานัปการ แต่หากเราไม่ท้อเสียก่อน ก็อาจถึงจุดหมายปลายทางได้เฉกเช่นคนอื่น แม้จะช้าไปบ้าง แต่หากเก็บเกี่ยวประสบการณ์รายทางได้มากกว่าเดินทางตรง ก็จะเป็นคุณมากกว่าเดินทางตรงได้เหมือนกัน ข้าพเจ้าจบชั้นประถมปีที่ 4 ต้องเป็นเด็กเลี้ยงวัวควายอยู่ 1 ปีก่อนที่พี่จะพาไปเรียนโรงเรียนราษฎร์ต่างอำเภอ 3 ปี จบมัธยมปีที่ 3 โรงเรียนไม่มีชั้นมัธยมปลาย ต้องไปเป็นเด็กวัดที่จังหวัด เรียนจบชั้นประโยค (มัธยมปีที่ 6) ไม่มีใครส่งเสีย เผอิญอาจารย์แนะให้ไปสมัครชิงทุนไปเรียนฝึกหัดครูได้ เป็นนักเรียนกินนอนอยู่ 3 ปี ก่อนจะย้อนไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในคณะที่ใฝ่ฝันได้ ดังนั้นเมื่อเข้าคณะอักษรศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ จึงกลายเป็นรุ่นน้องของเพื่อนที่เรียนชั้นมัธยม 6 ปีเดียวกัน และกลายเป็นนักเรียนที่มีอายุมากกว่าเพื่อนชั้นเรียนประมาณ 2-3 ปี อาจเพราะเหตุนี้ที่เพื่อนร่วมรุ่นเรียกว่า ปู่มาจนทุกวันนี้) แต่ก็เป็นโชคดีที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่างวินัย ภู่ระหงษ์ ผ่องพรรณ สิงหเสนี อัธยา สุดบรรทัด ก็ดี รุ่นพี่ 1-2 ปี เช่น นวลจันทร์ นิงสานนท์ (แรมจันทร์ อัฏฐมาส) วนิดา สถิตานนท์ อาพันธ์ชนิตร สุวรรณกร นั้นก็ดี กลายเป็นเพื่อนสนิทเพราะเป็นกลุ่มที่ชอบแต่งกาพย์กลอนด้วยกัน ในบรรดาเพื่อนที่ให้ความอบอุ่นนับข้าพเจ้าย่างเท้าเข้าเป็นนิสิตชั้นปี 1 (ภาษาในจุฬา ฯ ใช้ว่า ฟเรชี-เลียนจากภาษาอังกฤษ FRESHY ทั้งที่ไม่มีคำนี้ในภาษาอังกฤษ มีแต่คำที่ถูกต้องว่า FRESHMAN) ข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับจากเพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่ชั้นปีที่ 2 (ที่ภาษามหาวิทยาลัยเราใช้ SOPHOMORE ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเพื่อนข้าพเจ้าที่เขาได้รับทุนฟุลไบรท์ไปเรียนด้วยกันที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย) และเราก็คบกันสนิท และทำกิจกรรมด้วยกันมาจนบัดนี้ 56 ปี แม้เมื่อเรียนจบ แยกกันไปประกอบอาชีพ ก็ยังหาโอกาสร่วมกันทำกิจกรรมที่เรารักคือเป็นกรรมการตัดสินกลอนและร่วมวงสักวาเสมอ เพื่อนรุ่นพี่คนนั้น มีนามว่า มะเนาะ ยูเด็น ซึ่งเป็นเจ้าของกลอน เพลงกล่อมลูก ที่ยกมาข้างต้นนั้น น่าแปลกที่เพื่อนที่มาสนิทและคบกันมาตลอดเกือบ 6 ทศวรรษ มาจากคนละทิศ มารวมทีมกลอนไปออกโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหมเมื่อคืนวันที่ 22 พฤษภาคม 2502 ด้วยกัน มะนาะ ยูเด็น มาจากตรัง เกือบใต้สุด วินัย ภู่ระหงษ์ มาจากบ้านเพ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง (ใกล้บ้านกร่ำ-บ้านเกิดของบิดาพระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) จนอาจารย์ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ฟันธงว่าต้องสืบเชื้อสายสุนทรภู่) ข้าพเจ้ามาจากบ้านคำพอก หมู่บ้านเล็กๆ ริมแม่น้ำโขง ในนครพนม สุดกู่ทางภาคอีสาน และที่กลายเป็นศูนย์กลางให้เราได้ไปกินไปนอนเวลาจำเป็น คือ บ้านโกวิท สีตลายัน เพื่อนรุ่นน้องที่อยู่ซอยโรงงานยาสูบ สะพานสว่าง สี่พระยา (ความจริงเราเป็นเพื่อนพี่สาวเขา มะเนาะ เข้า 2498 วินัยกับข้าพเจ้าเข้า 2499 รุ่นเดียวกับ สมทรง สีตลายัน พี่สาวของ โกวิท ส่วน โกวิท เข้า 2500 แต่พอเขาเข้าคณะอักษรศาสตร์มาเข้าว่า ผมชื่อโกวิท สีตลายัน เป็นน้องพี่สมทรง ผมรู้จักชื่อเสียงและฝีมือคุณทุกคน ต่อแต่นี้ไป มีงานกลอนที่ไหน ชวนผมไปด้วย ผ่านมากว่ากึ่งศตวรรษ ข้าพเจ้ายังจำได้แทบทุกคำนั้น ความที่ โกวิท เป็นคนที่คิดเร็วพูดเร็วทำเร็ว และกล้าตัดสินใจ เขาจึงขอเป็นหัวหอกของทีม แล้วให้ข้าพเจ้ากับวินัยซึ่งว่ากันว่าสุขุมขึ้นมาหน่อย (พูดง่ายๆ ว่าออกกลอนช้า) ให้คอยเป็นมือสนับสนุน คอยแก้ปมที่ฝ่ายปรปักษ์ว่ามา จึงขออยู่เป็นมือ 2-3 ส่วน มะเนาะ เป็นคนที่คารมคมคาย คิดรอบคอบ จึงให้เป็นนายท้ายคอยตลบกลับด้วยบทส่งท้ายที่คมและประทับใจ (กรรมการหรือผู้ฟัง) วินัยเคยแสดงฝีมือได้รับรางวัลการประกวดกลอนวันแม่ปี 2497 ในระดับประเทศก่อนที่ข้าพเจ้าจะเขียนกลอนเป็นและได้ลงพิมพ์ในสตรีสาร (เสียดายที่หาบทกวีชิ้นนั้นไม่พบ แม้เจ้าตัวก็จำไม่ได้) ขณะที่ มะเนาะ และ โกวิท มีชื่อเสียงในวงการมาก่อนแล้ว ในขณะที่เรียนอยู่ช่วงต้นทศวรรษ 2500 หรือกึ่งพุทธกาล มะเนาะ มีบทกลอนที่มีเนื้อหาสาระคมคายหลากหลายบท (แต่คงคัดมาได้เพียงบางบท ที่เราเอามารวมใน ธารทอง รวมกลอนของเรา, 2506 และในหนังสือ กาญจนกานท์ รวมบทกวีวรรคทองของกวีร่วมสมัย 2553) รอยทราย: ธารชีวิต/ภาพโศภิตผ่องอำไพชวนใฝ่ฝัน/กระแสสินธุ์รินรื่นทุกคืนวัน/ระดะพันธุ์ปทุมมาลย์กลางธารทอง/อุทกธารซ่านซ่าน่าสนุก/รื่นรมย์รุกข์รายสะพรั่งริมฝั่งสอง/ไขสุคนธ์หล่นโรยโปรยละออง/วิหคซ้องแซ่เจรียงปานเสียงพิณ/หลงมาลีสีสล้างริมทางผ่าน/หลงสำราญสนานกายกลางสายสินธุ์/หลงสำเนียงเสียงนกโผผกบิน /หลงประทิ่นกลิ่นสุคนธ์จนลืมตัว/รู้สึกตนจนเวลาสายัณห์ย่ำ/ตะวันคล้ำครึ้มเวหาฟ้าสลัว/ดูเบื้องหน้าชลากว้างธุมางค์มัว/อกระรัวตัวเปลี่ยวอยู่เดียวดาย/จะเหลียวหลังทางวิถีที่เคยผ่าน/แม้รอยธารที่กระเทือนยังเลือนหาย/นึกน่าน้อยใจตนทนตะกาย/เพียงรอยทรายแทบนทีเป็นที่นอน/ทางชีวิต/สิ่งไพจิตรใช่จริงล้วนสิ่งหลอน/ห้วงความตายภายหน้าคือสาคร/สิ่งสุนทรที่บำเพ็ญเป็นรอยทราย ฯ ส่วนอีกบท คือ ลอยกระทง: คัดดอก คำ ฉ่ำประทิ่นกลิ่นหอมหวน/สรรจากสวน ภาษา มาผสม/เรียงตามลาย ลีลา น่าชื่นชม/ไหม อารมณ์ ร้อยผกาเป็นมาลัย/ธูป ความฝัน ควันกรุ่นละมุนจิต/เทียน ความคิด แสงพร่างสว่างไสว /เหรียญ ปัญญา ค่านิดอุทิศไป/แทนดวงใจใส่ลงกระทง กลอน/ขอเดชะกระทงน้อยจงลอยลิบ/สู่แดนทิพย์ถิ่นกวีศรีอักษร/เทวะ ศิลป์ กรุณาเอื้ออาทร/ช่วยเชยช้อนชูประคองป้องกระทง/ลอยตามลำน้ำ กาล อย่าผ่านหาย/อย่าสลายลับล่มด้วยลม หลง/คลื่น เวลา อย่าพานให้ลาญลง/ชะลอส่งสู่สถาน งานกวี/ณ แดนงามนามว่า อนาคต/ให้ปรากฏเทียนก่องผ่องรังสี/ ดอกคำรินกลิ่นกลบอบธาตรี/แม้มิมีใครรู้นามผู้ลอย ฯ ท่านผู้อ่านคงพินิจพิจารณาได้ว่ากลอนของมะเนาะนั้น ทั้งเนื้อหาที่มีสาระ, ความคิดคมคาย,การสร้างสรรค์หรือลีลากลอนแปลก, ถ้อยคำคัดกรองได้ดีเยี่ยม,สำนวนโวหารกินใจและอารมณ์สะเทือนใจสูงครบถ้วน มิใช่สักแต่ว่าจะถูกต้องฉันทลักษณ์เท่านั้น จึงตรึงใจผู้อ่านยิ่งนัก ครูสอนการประพันธ์สามารถยกไปเป็นตัวอย่างการเรียนการสอนได้อย่างดีเสมอ แม้มะเนาะจะเขียนบทกวี ๒ ชิ้นนี้ มาประมาณ ๕๐ ปีแล้ว ดังที่ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า งานดีๆนั้นเป็นอกาลิโก คือแม้กาลนานเพียงใด งานนั้นจะยังสดใส ใช้ได้ในทุกกาลเวลา ไม่เสื่อมคลายคุณค่าเลย
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/85928