รอบรู้เรื่องรถ
ถังแกสดับเพลิงติดรถช่วยคุณได้
ที่จริงผมได้เขียนเรื่อง "การผลักดันน้ำ" และการตรวจสอบ และฟื้นฟูสภาพรถที่ลุยน้ำลึก และถูกน้ำท่วม สำหรับคอลัมน์นี้ไว้บ้างแล้ว แต่เชื่อว่ากว่าจะได้ออกวางตลาด ก็คงจะหมดความน่าสนใจไปแล้ว เพราะคนไทยเราเบื่อง่าย และลืมง่ายด้วย เลยขอเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นครับในช่วงที่น้ำเริ่มลด ผมพอมีโอกาสออกไปขับรถคลายเครียดได้บ้าง โดยไม่ต้องกังวลว่า อาจจะต้องเผชิญกับน้ำบนถนน ในแบบที่ต้องลุยผ่านอย่างเดียว หมดโอกาสหันหลังกลับ ผมจึงออกไป "ขับรถเล่น" ตามนิสัยที่ชอบ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความฟุ่มเฟือยครับ เพราะไม่ใช้ความเร็วสูงมาก และระยะทางก็ไม่ไกลมากด้วย ค่าเชื้อเพลิงก็ไม่มากอะไร เมื่อเปรียบเทียบกับการชมภาพยนตร์สักเรื่อง หรือกินอาหารร้านที่ราคาค่อนข้างสูงสักมื้อ เรามีสิทธิ์เลือกครับขา กลับจากถนนเกษตร-นวมินทร์ หรือประดิษฐ์มนูธรรม ผมขับมาบนทางบยกระดับได้ไม่กี่ กม. รถติดหนักมาก ผมไม่สงสัยในสาเหตุ เพราะเกือบทุกครั้ง มีอยู่อย่างเดียว คืออุบัติเหตุเพราะความประมาท แต่คราวนี้ไม่ใช่ครับ เมื่อคืบคลานมาได้ 15 นาที จนถึงจุดเกิดเหตุ และเป็นเวลากลางคือ ผมจึงได้เห็นรถสปอร์ทสัญชาติอิตาลีอยู่บนรถยก ในสภาพถูกไฟไหม้ทั้งคัน ผู้ขับ และผู้โดยสาร (ถ้ามี) น่าจะปลอดภัย เพราะเท่านี้ผมประเมินสาเหตุน่าจะเกิดการลุกไหม้ขึ้นที่จุดใดจุดหนึ่งจากความบกพร่องทางเทคนิค แม้จะไม่น่าเกิดขึ้น แต่ก็มีโอกาสสูงพอสมควรครับเรื่องไม่ใหญ่ กลายเป็นความวิบัติ ความสูญเสียที่ไม่น่าจะมากมายอะไรนัก กลายเป็นมูลค่าหลายล้านบาท แม้น่าจะมีความคุ้มครองความเสียหายจากการประกันภัยชั้น 1 ก็ตาม ด้วยสาเหตุเดียวเท่านั้น คือ เจ้าของรถไม่มีเครื่องดับเพลิง หรือถังดับเพลิงหรือที่ดับเพลิง สุดแต่จะเรียกกัน เตรียมพร้อมไว้ในรถ ซึ่งในที่นี้ผมขอเรียกมันตามความนิยมส่วนใหญ่ว่า "ที่ดับเพลิง" ครับ พวกเราที่ใช้รถ มักเชื่อว่าโอกาสที่ไฟจะลุกไหม้รถของเรานั้น มีน้อยมาก โดยประมวลจากประสบการณ์ส่วนตัวครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วยังไม่เคยเห็นรถใครก็ตาม กำลังลุกไหม้ ไม่ใช่เพราะเกิดขึ้นยากนะครับ เพียงแต่ว่าโอกาสที่เราจะได้เห็นกัน "คาตา" นั้น ต่ำมาก ผมไม่มีตัวเลขทางสถิติ พูดง่ายๆ ก็คือ ระดับไม่ถึงหนึ่งในแสนของรถที่ผ่านสายตาเรา ขับกันมาเป็นสิบปีแล้วก็ยังไม่เคยเห็น ที่น้อยนั้น น้อยเฉพาะโอกาสที่จะได้เห็นครับ แต่โอกาสที่จะเกิดนั้นไม่ได้น้อยเลย เพราะมี 3 สิ่งที่เอื้อต่อการเกิดเพลิงไหม้ อยู่รวมกันอย่างใกล้ชิดในรถของเรา คือ เชื้อเพลิงกระแสไฟฟ้า และความร้อนครับ เชื้อเพลิงนั้นมีโอกาสรั่วซึมได้หลายแห่ง และหลายสาเหตุด้วยกัน ไอระเหยของเชื้อเพลิงที่มีความเข้มข้นพอเหมาะกับการลุกไหม้นั้น ถ้าถูกความร้อนสูงพอ หรือถูกประกายไฟฟ้า หรือความร้อนจากการที่กระแสไฟฟ้าลัดวงจรก็ตาม ย่อมมีโอกาสเกิดเปลวไฟลุกไหม้เสมอ และเมื่อไหม้ขึ้นมาแล้ว ยังมีเชื้อเพลิงป้อนเสริม ให้บานปลายลุกลามต่อไปได้อีกด้วย เช่น น้ำมันเชื้อเพลิงเอง พลาสติค และชิ้นส่วนที่ทำจากยาง ทั้งธรรมชาติ และสังเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ การที่รถของเราไม่ลุกไหม้กันได้ง่ายๆ ต้องถือว่าเป็นความสามารถของเหล่าวิศวกรผู้สร้าง ที่จัดการให้สามสิ่งนี้ทำงานร่วมกันแบบสันติได้ เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว เราควรถามตัวเองว่า เราจะอยู่ในกลุ่มผู้โชคดีเสมอแน่หรือ คำตอบคือไม่ครับ เพราะมันอาจเกิดกับรถของใครก็ได้ ไม่ว่าเก่าหรือไม่ คนเราไม่ควรตั้งตนอยู่ในความประมาท ไม่ควรปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นตามยถากรรม จนอาจถึงขั้นคับขัน และจนตรอกสิ้นท่า ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย ไฟที่เริ่มไหม้รถที่เรากำลังขับอยู่นั้น เราดับมันได้ค่อนข้างแน่นอนครับ แต่ต้องมี 2 สิ่งนี้อยู่ก่อน คือ 1. ที่ดับเพลิง ประจำรถ ขนาดเหมาะสม และยังอยู่ในสภาพดี พร้อมถูกใช้งาน 2. ความรู้ในการปฏิบัติตน เมื่อรถเกิดเพลิงไหม้ วิธีเลือกที่ดับเพลิง ให้เหมาะสม รวมทั้งวิธีดับเพลิงรถของเราอย่างถูกต้องด้วย ลองวาดภาพพจน์แบบใกล้เคียงความจริง เปรียบเทียบกันดูสัก 2 กรณีนะครับ กรณีแรก เราไม่มีอุปกรณ์ดับเพลิงประจำรถ และไม่รู้วิธีปฏิบัติตนด้วย ทันทีที่เกิดเพลิงไหม้ที่รถ จะเกิดควันโขมงออกมาจากฝากระโปรงเหนือเครื่องยนต์ (หน้าหรือหลังก็ตาม) จากความตื่นตระหนก เราย่อมเบรคอย่างแรงหรือรีบเปลี่ยนลู่กะทันหันเพื่อเข้าจอดข้างทาง โดยไม่ทันตรวจสอบว่ามีรถด้านหลังหรือไม่ อาจซวยซ้ำสองจากการถูกชนก็ได้ สมมติว่ารอดพ้น และนำรถเข้าจอดข้างทางได้ เราคงได้แต่ยืนดู แบบคอตกเหงื่อท่วมตัว เห็นรถของเราไหม้ไปต่อหน้าต่อตา โอกาสที่จะพบน้ำพร้อมภาชนะอยู่ใกล้มือนั้น แทบเป็นศูนย์ และถึงมี น้ำก็ไม่ใช่สารที่เหมาะสำหรับดับไฟที่ไหม้รถอยู่แล้ว เพราะมักจะมีน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นเพลิง นอกจากจะต้องสูญเสียทรัพย์สินแล้ว (ถึงมีประกันภัย ก็ไม่ได้ค่าชดใช้คุ้มกับมูลค่ารถหรอกครับ) ยังต้องอับอายอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อใช้รถสปอร์ทหรือรถหรูราคาสูง เพราะความอิจฉาริษยาเป็นของคู่สังคมไทย จากนั้นก็ต้องเตรียมรับสภาพยามไม่มีรถใช้อีกด้วย กรณีที่สอง ไม่ต้องเขียนยาวให้เปลืองเนื้อที่เลยครับ เราลดความเร็ว นำรถเข้าจอดข้างทางอย่างมีสติ หรือถ้าลำบาก มีอุปสรรค ดูแล้วไม่มีอันตราย จอดมันกลางถนนก็ได้ครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลา ดับไฟด้วยที่ดับเพลิงประจำรถด้วยวิธีที่ถูกต้อง ความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างหยาบๆ ก็ไม่ถึง 1 ใน 10 ของกรณีแรกแน่ นอกจากนี้ แม้ไม่เกิดขึ้นกับรถของเราเอง เรายังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นในยามคับขันได้ ปัญหาอยู่ที่ว่า จะมีใครชดเชยมูลค่าที่ดับเพลิง หรือค่าบรรจุสารดับเพลิง ให้เราหรือไม่ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขามีกฎ หรือถึงไม่มี บริษัทประกันภัยของรถคันที่ไหม้ จะเต็มใจชดเชยค่าใช้จ่ายให้ผู้ช่วยเหลือเสมอ เพราะถือว่าช่วยลดความเสียหาย (รายจ่าย) ให้เขา ในเมืองไทยเราคงหวังอะไรได้ยากครับ ถ้าพบเจ้าของรถที่เป็นคนดีมีสำนึก ก็ยังโชคดีหน่อยแต่เท่าที่เห็นมักใช้วิธี "ทำเป็นลืม หรือทำเป็นโง่ แล้วไม่ต้องเสียเงิน" ถึงผู้ช่วยจะไม่ได้คาดหวัง แต่ถ้าเป็นคราวซวย อาจไม่ได้ยินแม้กระทั่งคำขอบคุณด้วยซ่ำไป สำนึกด้านดีเหล่านี้ ที่ขาดหายไปในสังคมไทย ทำให้คนดีมีน้ำใจลังเลหรือปฏิเสธที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เป็นหน้าที่ "กระทรวงวัฒนธรรม" โดยตรงเลยครับ ที่จะต้องปลุกเร้าสำนึกเหล่านี้ขึ้นมา ด้วยสื่อต่างๆ ใช้เงินงบประมาณประจำปี ไปกับเรื่องที่ดี และจำเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครว่าหรอกครับเรื่องความแล้งน้ำใจ และมารยาทต่ำทรามบนท้องถนนของคนไทยนี่ ต้องใช้เนื้อที่ทั้งคอลัมน์ ขอผลัดไปครั้งหน้าครับ ที่ดับเพลิงประจำรถ มีหลายขนาดด้วยกัน (ที่ผมเรียกที่ดับเพลิงประจำรถ เพราะเราเน้นเฉพาะเรื่องนี้เท่านั้นครับ ที่จริงที่ดับเพลิงเหล่านี้ เป็นแบบอเนกประสงค์ครับ ใช้ประจำเรือเล็กก็ได้ ห้องครัว ห้องนอน ฯลฯ ได้ทั้งนั้นครับ) เรียกตามมวลหรือน้ำหนักของสารดับเพลิงเท่านั้น เช่น 1 กก., 1.3 กก., 1.5 กก., 2 กก. ไม่รวมภาชนะที่บรรจุ เช่นที่ดับเพลิงที่บ่งไว้บนฉลากว่า 2 กก. อาจมีน้ำหนักราว 4 ถึง 5 กก. ส่วนใหญ่ใช้สารดับเพลิงแบบแห้ง ลักษณะเป็นผง หรือ "แป้ง" ส่วนรุ่นใช้ HALON ซึ่งเป็นแกส ถูกห้ามผลิตแล้ว ดับไฟที่มีต้นกำเนิดเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแกส รวมทั้งที่เป็นชิ้นส่วนของระบบไฟฟ้าได้ด้วย (ดูอักษร A B และ C ที่ฉลาก) ถ้ามีเนื้อที่เพียงพอ เช่น ใช้รถขนาดกลางหรือใหญ่อยู่ ผมขอแนะนำให้ใช้ขนาดใหญ่ไว้ก่อน เช่น 2 กก. เพราะบางกรณี สารดับเพลิงแค่ 1 กก. อาจไม่เพียงพอ แต่ถ้ามีงบประมาณ หรือเนื้อที่จำกัด 1 กก. หรือ 1.5 กก. ก็ดีกว่าไม่มีเลย มากมายครับ บางรุ่น บางตรา อาจบอกมวลของสารดับเพลิงเป็นปอนด์ก็ได้ เช่น พวกที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ หรือ สหรัฐอเมริกา เทียบหยาบๆ ก็พอครับ 1 กก. เท่ากับ 2.2 ปอนด์ หรือจะใช้ 2 ปอนด์ ถ้วน ก็ยังไหว หลักการก็คือ ในเมื่อโอกาสที่จะใช้ให้พอดี แทบเป็นไปไม่ได้ จังเหลืออยู่ 2 กรณีเท่านั้น คือ เหลือ หรือขาด จึงต้องเลือกปริมาณให้เหลือครับ ถ้าขาด ไม่พอดับเพลิงที่เกือบจะสำเร็จแล้ว ก็น่าเสียดายมาก ทุกสิ่งจะสูญเปล่า เอา 2 กก. ไว้ก่อนครับ ถ้าไม่มีขาย เอาแบบ 1 กก. 2 อันก็ได้ ตำแหน่งติดตั้งที่ดับเพลิง ควรอยู่ใกล้ตัวผู้ขับที่สุด แน่นอนครับ ต้องอยู่ในห้องโดยสาร ห้ามติดตั้งในห้องเครื่องยนต์ หรือที่เก็บของท้ายรถ เวลาชนหรือถูกชนท้ายเราอาจไม่สามารถเปิดได้ อนุโลมให้ติดตั้งไว้ในที่เก็บของท้ายรถได้ เฉพาะรถที่มีพนักพิงของเบาะหลังแบบพับได้เท่านั้น ควรให้อยู่ใกล้ห้องโดยสารที่สุด อย่าให้ถึงขนาดต้องคลานเข้าไปหยิบมานะครับ ตำแหน่งที่ดีที่สุด คือ ที่พื้นห้องโดยสารด้านหน้าเก้าอี้ ผู้ขับ หรือด้านซ้ายของคอนโซลกลางก็ได้ รองลงมา คือ มุมซ้ายสุดด้านหน้า แถวๆ ที่วางเท้าของผู้โดยสารด้านหน้า ที่ดับเพลิงพวกนี้ ซึ้อได้จากบริษัทขายอุปกรณ์ดับเพลิงครับ หาทางระบบอินเตอร์เนท หรือ "หน้าเหลือง" ก็ได้ หรือไม่ก็ศูนย์จำหน่ายอุปกรณ์สำหรับบ้าน ประเภท "โฮม..." ทั้งหลาย ส่วนแผนกอุปกรณ์รถยนต์ในน้างสรรพสินค้า ล้วนเลิกขายกันไปเกือบหมดแล้วครับ เพราะคนไทยไม่ให้ความสำคัญแก่ความปลอดภัย มีของดีแล้วต้องใช้เป็นด้วย ไม่ยากครับ เมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นในห้องเครื่อง (ที่อื่นก็เกิดได้แต่เกือบทุกกรณี เกิดที่นี่) เราจะเห็นควันลอดออกมาทางขอบฝากระโปรง สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด คือ สติ อย่าตื่นกระหนกครับ ระลึกอยู่เสมอว่ามันเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องยาวนาน ไม่ต้องลนลานแข่งกับเวลา จนเกิดอันตรายจากเหตุอื่นที่พาลทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ถ้าเกิดขณะรถกำลังแล่นอยู่ อย่าเบรครุนแรงจนถูกคันที่ตามมา ชนท้ายเรา อย่าเปลี่ยนลู่กะทันหันจนไปปาดหน้าคันอื่น ทำตัวเสมือนค่อนข้างรีบจอดข้างทางเท่านั้น แทบไม่มีความแตกต่างครับ หากเริ่มดับเพลิงช้าไปอีก 10 วินาที ผลสำเร็จขึ้นอยู่กับฝีมือในการใช้ที่ดับเพลิงมากกว่าครับ ถึงคันหรือแป้นปลดฝากระโปรงรถ หยิบที่ดับเพลิงออกจากรถ แล้วปลดสลักนิรภัยให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ทันที ยืนอยู่ในตำแหน่งพร้อมเปิดฝากระโปรงรถ โดยวางที่ดับเพลิงไว้ที่พื้นใกล้ตัวให้หยิบได้เร็วและถนัดที่สุด กลั้นหายใจแล้วเปิดฝากระโปรงขึ้น ถ้าเป็นรถที่ต้องใช้ก้านเหล็กค้ำฝากระโปรงไว้ เตรียมผ้าหรือฉนวนความร้อนไว้ในมือเพื่อจับก้านเหล็กนี้ด้วย เปิดฝากระโปรงได้แล้ว หยิบที่ดับเพลิงขึ้นมาในท่าที่เตรียมพร้อม หาตำแหน่งต้นเพลิงให้พบ เพราะเราต้องฉีดสารดับเพลิงให้โดนจุดนั้นจึงจะดับไฟได้ผล พยายามยืนอยู่เหนือลมถ้าเป็นไปได้ เล็งให้แม่น แล้วกดหรือบีบคันปล่อยสารดับเพลิงเป็นจังหวะสั้นๆ ห้ามฉีดต่อเนื่อง ฉียครั้งหนึ่งไม่ควรเกิน 1 วินาที ถ้าฉีดไม่ถูกจะได้ปรับแนวเล็งใหม่ ถึงจะฉีดถูกจุดต้นเพลิงตั้งแต่ครั้งแรก ก็ห้ามฉีดต่อเนื่องครับ ฉีดเป็นจังหวะสั้นๆ เสมอ เพราะที่ดับเพลิงจะปล่อยสารดับเพลิงรวมเป็นเวลาทั้งสิ้นแค่ 8 ถึง 13 วินาทีเท่านั้น ถ้าทำเช่นนี้น่าจะฉีดได้ประมาณสิบกว่าครั้ง และน่าจะดับเพลิงได้ผลถือหลักใช้เท่าที่จำเป็นครับ ถ้าไฟดับแล้ว หยุดฉีดทันที เก็บสารดับเพลิงที่ยังเหลืออีกเล็กน้อยไว้ เพราะถ้าต้นเพลิงเป็นยาง อาจมีการประทุ และลุกไหม้ขึ้นมาอีกได้ การฉีดสารดับเพลิง ต้องฉีดให้ต่ำที่สุด คือ ที่ต้นเพลิงเท่านั้น อย่าไปฉีดเปลวเพลิงสีส้มที่ลอยอยู่ ไม่มีประโยชน์ครับ และไม่ต้องลนลานกลัวรถระเบิดด้วย พวกนักสร้างภาพยนตร์คือตัวการที่ล้างสมองพวกเรา ว่ารถที่เริ่มไหม้ จะระเบิดภายในไม่กี่วินาที คือเมื่อพระเอกกำลังวิ่งหนี และกระโดดตัวลอยกลางอากาศ ไร้สาระและโกหกล้วนๆ ครับ ดับไฟอย่างมีสติดีกว่า ระยะที่ฉีดก็สำคัญเช่นเดียวกัน ระยะที่เหมาะระหว่างหัวฉีดกับต้นเพลิง คือ 1.5 ถึง 3 ฟุตครับ ถ้าไกลเกินไปสารดับเพลิงจะกระจายกว้างและจาง การเล็งเป้าหมายก็ไม่แม่นยำเท่าที่ควรด้วย อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย หรืออุปกรณ์กู้ชีพช่วยชีวิต เหล่านี้ เช่น ที่ดับเพลิง อาวุธต่างๆ เสื้อชูชีพกันจมน้ำ สายล่อฟ้า ฯลฯ เราต้องมีพร้อมไว้ครับ แต่ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า เป้าหมายสูงสุดคือการเตรียมไว้ แต่เก้อครับ การมีไว้พร้อมใช้งาน แต่ไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องใช้มันเลย คือ สิ่งที่เราปรารถนา อย่ามองว่าเป็นสิ่งที่สูญเปล่าเป็นอันขาดครับ
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการบทความและสารคดี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/85078