รู้ทันเทคนิค
มาตรฐานใหม่ของรถกระบะ
หลังจากรถกระบะเริ่มมีการแข่งขันสูงขึ้น เราก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในเรื่องออพชันต่างๆ มากมาย รวมถึงความปลอดภัยที่มากขึ้น จนใกล้เคียงกับรถยนต์นั่งทั่วไป ช่วงระยะเวลาไม่นาน ความเปลี่ยนแปลงบังเกิดขึ้นรวดเร็วมาก สำหรับกลุ่มของรถกระบะ ย้อนกลับไปแค่ช่วงปี 2539-2540 ตอนนั้นรถกระบะบ้านเรามีรุ่นเกียร์อัตโนมัติออกมา ก็หรูมากแล้ว กว่าจะมีระบบเบรค เอบีเอส (ABS) ก็หลังปี 2543 โน่น มาตรฐานรถกระบะบ้านเราที่ถือว่าหรูหราสุดๆ แค่มีล้อแมก แอร์ เครื่องเสียง กระจกไฟฟ้า และกระจกมองข้างไฟฟ้า ฯลฯ แค่นี้ก็เลิศหรูที่สุดแล้ว ระบบความปลอดภัยที่มีมากขึ้น เริ่มจากโครงสร้างนิรภัยที่เน้นมากขึ้น จนแตกต่างจากยุคก่อนหน้านี้ และนำมาใช้เป็นจุดขายด้วย ระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นมา คือ ระบบเบรคเอบีเอส และถุงลมนิรภัย ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น จนกระทั่งไม่กี่ปีนี้เอง ที่เริ่มมีระบบช่วยการทรงตัวเพิ่มขึ้นมา ในครั้งนี้จะมาคุยกันถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงของรถกระบะบ้านเรา ได้ก้าวไปถึงไหนกันแล้ว และมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง มีอะไรที่จะกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของรถกระบะบ้านเรา ไม่นับเรื่องราคาที่เปลี่ยนไปอย่างกู่ไม่กลับ...
มาตรฐานความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น
เริ่มจากระบบ อีเอสพี (ESP: ELECTRONIC STABILITY PROGRAM) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว อาจจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปแล้วแต่ละบริษัทรถยนต์จะเป็นผู้ตั้ง โดยหลักการเป็นระบบอีเลคทรอนิคส์ ช่วยควบคุมการทรงตัว ระบบนี้จะทำงานร่วมกันกับระบบเบรค โดยเฉพาะระบบเบรค เอบีเอส นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกันกับระบบป้องกันล้อหมุนฟรี อย่างระบบ ทีซีเอส (TCS: TRACTION CONTROL SYSTEM) โดยทำการประเมินการเคลื่อนที่ของรถกับองศาการหมุนของพวงมาลัย หากเกิดการเสียสมดุล ระบบจะเพิ่มแรงเบรคในแต่ละล้อ รวมทั้งลดกำลังของเครื่องยนต์ เพื่อให้รถกลับเข้าสู่สภาวะสมดุล และควบคุมได้ง่ายขึ้น หัวใจของระบบนี้ คือ เซนเซอร์ที่มีชื่อว่า YAW RATE SENSOR เป็นเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของตัวรถ เมื่อเซนเซอร์ตรวจจับว่ารถเริ่มเสียการควบคุม เช่น เกิดอาการโอเวอร์สเตียร์ หรือท้ายปัด อีซียู (ECU) จะทำการประมวลผล โดยอาศัยสัญญาณจากการหมุนของพวงมาลัย ความเร็วของตัวรถ และองศาคันเร่ง ฯลฯ แล้วจะสั่งให้ระบบเบรคทำงานเป็นบางล้อ เพื่อดึงให้รถกลับมามีเสถียรภาพเหมือนเดิม ระบบนี้จะเริ่มเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในอนาคตอันใกล้นี้
- ระบบ ทีซีเอส ระบบนี้มีความสำคัญไม่น้อย เพราะปัจจุบันรถกระบะบ้านเราแรงม้าสูงๆ ทั้งนั้น การออกตัวมีความสำคัญไม่น้อย เพราะถ้าเผลอกดคันเร่งแรงๆ จะเกิดอาการล้อฟรีได้ง่าย และอาการล้อฟรีนี้ อาจส่งผลให้ผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะบนทางที่เปียกลื่น หรือทางฝุ่น จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการล้อหมุนฟรี ด้วยการควบคุมรอบเครื่องยนต์ไม่ให้สูงมาก ถ้าลองกดคันเร่งหนักๆ บนถนนลื่นๆ หรือเต็มไปด้วยฝุ่นเมื่อล้อฟรีจังหวะแรกไปแล้ว เราจะรู้สึกว่าเครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้นเลย เพราะระบบจะควบคุมรอบเครื่องยนต์ไว้นั่นเอง
- ระบบเสริมแรงเบรค บีเอ (BA: BRAKE ASSIT) ระบบนี้มีความสำคัญไม่น้อย หลายๆ คนเวลาเหยียบเบรคกะทันหัน ไม่ค่อยกล้าที่จะลงเบรคหนักๆ ไม่รู้ว่ากลัวพื้นทะลุ หรือกลัวเบรคจะพัง ทำให้เกิดอุบัติเหตุชนท้ายรถคันหน้าให้เห็นกันบ่อยๆ อีกเหตุผลหนึ่ง คือ คนส่วนใหญ่ไม่เคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้ เลยไม่รู้ว่าต้องเหยียบเบรคแรงขนาดไหน ถ้าเป็นผู้ที่เคยได้รับการอบรมเรื่องการขับขี่ปลอดภัย จะรู้ว่าเมื่อต้องเบรคฉุกเฉิน (ในรถที่มีระบบเบรค เอบีเอส) นั้นจะต้องเหยียบเบรคกันสุดแรงที่มี เมื่อคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าต้องเบรคแรงขนาดไหน จึงมีการออกแบบระบบนี้มาเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุ เมื่อเซนเซอร์จับได้ว่าผู้ขับขี่เหยียบเบรคอย่างรวดเร็วและค่อนข้างแรง ประมวลผลกับเซนเซอร์ความเร็ว และ YAW RATE SENSOR เมื่อประมวลผลว่าผู้ขับขี่เบรคกะทันหัน ระบบจะทำการเพิ่มแรงเบรคให้มากขึ้น เพื่อให้รถหยุดในระยะทางที่สั้นลง รถที่มีระบบนี้เมื่อเราเหยียบเบรคกะทันหัน และระบบ บีเอ เริ่มทำงาน จากตำแหน่งแป้นเบรคที่เราเหยียบคาไว้มันจะยุบต่ำลงไปอีก ระยะทางหลังจากเบรค และระบบ บีเอ ทำงานจะสั้นกว่าระยะเบรคที่มนุษย์เหยียบอย่างเดียว นับตั้งแต่ประมวลผลจนถึงสั่งการเพิ่มแรงดันเบรค ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
- ระบบสร้างสมดุลแรงเบรคระหว่างล้อเมื่อเข้าโค้ง ซีบีซี (CBC: CORNERING BRAKE CONTROL) คนรุ่นเก่ามักสอนลูกหลานว่า อย่าเยียบเบร8ในโค้ง รถจะคว่ำ นั่นอาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่ก็มีส่วนจริง มันเป็นเหมือนคำสอนทางอ้อมที่จะบอกเราว่า ให้เหยียบเบรคตั้งแต่ทางตรงๆ ก่อนจะเข้าโค้ง แต่หลายคนไม่ได้ทำแบบนั้น ก่อนเข้าโค้งก็ไม่เบรค พอเข้าโค้งแล้วรู้สึกว่ามันเร็วเกินไปก็เลยเบรค ทำให้รถเสียการทรงตัว และพลิกคว่ำได้ อันที่จริงนั้นการเหยียบเบรคในโค้งนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ผู้ขับจะต้องมีความเข้าใจและความชำนาญเรื่องรถพอสมควร เวลาที่รถเข้าโค้งน้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านข้าง ตามหลักการของโมเมนทัม ถ้าเข้าโค้งแรง น้ำหนักก็จะถ่ายเทมาก เมื่อยางยึดเกาะไม่อยู่ รถมันก็เสียการทรงตัว การเหยียบเบรคในโค้งนั้นทำได้แค่เพียงรักษาสมดุล หรือชะลอความเร็วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นการแตะเบรคเบาๆ ใช้น้ำหนักกดไม่เยอะนัก แต่การสร้างสมดุลด้วยตัวผู้ขับขี่เองจะต้องมีความชำนาญพอ ไม่อย่างนั้นจะเกิดอันตรายมากขึ้น จึงมีการคิดค้นระบบสร้างสมดุลขณะเบรคในโค้ง โดยระบบจะควบคุมแรงดันเบรค และลงน้ำหนักในการเบรคไปยังล้อทั้ง 4 ข้างอย่างอิสระจากกันอย่างเหมาะสม ซึ่งแรงดันและน้ำหนักในการเบรคในแต่ละล้ออาจแตกต่างกัน เพื่อช่วยสร้างสมดุลและการทรงตัว และลดอาการท้ายปัดอย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบควบคุมการลงทางลาดชัน เอชดีซี (HDC: HILL DESCENT CONTROL) เป็นระบบที่ทำให้ผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์น้อยด้านการขับรถลักษณะนี้ ควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย นั่นเพราะว่าเวลาลงทางลาดชันมากๆ ควบคุมได้ยาก เมื่อใช้ความเร็วมากไปแรงดึงดูดของโลกยิ่งทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้น เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นแล้วใช้เบรคมากไป หรือกดเบรคแรงเกินไป หรือใช้เกียร์ไม่เหมาะสม การควบคุมรถจึงทำได้ยาก เบรคแรงเบาๆ ก็อาจลดความเร็วไม่ได้ เบรคแรงก็อาจทำให้ลื่นไถล หรือท้ายปัด ทำให้เกิดอันตรายได้ง่ายด้วย บางครั้งการใช้เบรคมากๆ โอกาสเบรคเฟดมีสูง เมื่อเบรคไม่อยู่ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้อีกต่างหาก โดยเฉพาะรถเกียร์อัตโนมัติ แทบจะไม่มีเอนจินเบรคช่วย ทำให้ควบคุมรถได้ยากกว่ารถเกียร์ธรรมดา รถขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์ธรรมดา ที่มีเกียร์โลว์ด้วยแล้ว จะควบคุมรถได้ง่ายมากในเวลาลงเนินชัน ถ้ามีเกียร์โลว์ แต่เป็นเกียร์อัตโนมัติ ก็ยังพอไหว แต่รถเอสยูวีหรูๆ สมัยนี้ไม่มีเกียร์โลว์ และส่วนใหญ่เป็นเกียร์อัตโนมัติ การลงเนินชันๆ จึงเป็นเรื่องยากไม่น้อย ระบบ เอชดีซี เมื่อเราเปิดใช้งาน ผู้ขับขี่มีหน้าที่แค่ควบคุมพวงมาลัย และทิศทางของตัวรถเท่านั้น เท้าทั้ง 2 ข้างถอนออกจากแป้นคันเร่งและคลัทช์ (ในรถเกียร์ธรรมดา) ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระบบ เอชดีซี ระบบจะทำการควบคุมการทำงานของระบบเบรคเป็นจังหวะๆ เพื่อให้ตัวรถลงเนินได้อย่างมีเสถียรภาพ ระบบจะสั่งให้เบรคทำงานเพื่อควบคุมความเร็วของตัวรถ ในรถบางรุ่นจะสามารถเลือกระดับความเร็วได้ ตั้งแต่ 4-8 กม./ชม. ลงมา เมื่อเปิดโหมดนี้เราจะรู้สึกได้เลยว่าตัวรถจะมีอาการเหมือนเราเหยียบเบรคลึกๆ แล้วปล่อยเป็นจังหวะๆ ตัวรถจะลงเนินช้าๆ ด้วยความหน่วงคล้ายๆ กับเวลาเข้าเกียร์โลว์ สามารถปล่อยคันเร่งและเบรคได้เลย ผู้ขับขี่มีหน้าที่แค่ควบคุมพวงมาลัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้มีสมาธิมากขึ้น และที่สำคัญก็คือ ผู้ขับขี่ไม่ต้องมีทักษะด้านทางวิบากก็สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย การทำงานของระบบนี้ในรถบางรุ่นสามารถทำงานได้ทั้งจังหวะเดินหน้า และถอยหลัง
นอกจากระบบช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่อย่างที่กล่าวไปแล้ว ในส่วนของโครงสร้างตัวรถมีการพัฒนาไปมากเช่นกัน โครงสร้างเน้นความปลอดภัยมากขึ้น มีการกระจายแรงกระแทกได้ดีขึ้น เพราะเป้าหมายในการออกแบบ คือ ความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารเป็นสำคัญ ดังนั้นเวลาเลือกซื้อรถ สิ่งที่ควรคำนึงถึง หรือเอาเป็นเหตุผลอันดับแรกๆ คือ ระบบความปลอดภัยเหล่านี้ มากกว่าระบบอำนวยความสะดวก หรือความบันเทิง เพราะระบบเหล่านี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตได้มากกว่าเยอะ
เรื่องโดย : พหล ฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ทันเทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/85077