รู้ไว้ใช่ว่า
รู้จักเขาหน่อย
เป็นที่รู้กันว่า หนังสือที่ท่านกำลังหาความรู้ความเพลิดเพลินในนาทีนี้ นำเสนอเกี่ยวกับรถลุยรถหนัก อย่างน้อยๆ ก็รถกระบะในบ้านเรา เท่าที่ผ่านมาผมไม่เห็นใครเอ่ยถึง "เจ้าถนน" ประเภทรถบรรทุก หรือ ทรัค ตัวจริงเสียงจริงในขณะนี้ ถ้าให้แฟนๆ เดาเล่นๆ ว่าเป็นฝีมือชาติไหน เชื่อว่าต้องมีคนแทงหวย เยอรมนี หรือ สหรัฐ ฯ เสียมากกว่า
เป็นคำตอบที่ผิด กลายเป็นรถของประเทศซึ่งล้าหลังจำพวกรถเก๋ง รถนั่ง ล้าหลังกว่าน้องใหม่อย่างจีน เสียด้วยซ้ำ แหม...เดาออกหรือยัง ถ้ายังต้องเฉลย ได้แก่ "สหพันธรัฐรัสเซีย" ครับพี่น้อง หา...เป็นไปได้ยังไง ไม่จริงมั้ง...
ด้วยเนื้อที่ที่มีจำกัด รีบบอกกันเลยดีกว่า รถบรรทุกซึ่งได้รับการจัดเข้าแข่งขันอภิมหาแรลลีโลก ดาการ์ แรลลี เมื่อปี 1980 เรื่อยมาจนถึงปีนี้ เว้นบางปี ไม่มีรถบรรทุกเข้าแข่ง รวม 30 ครั้ง รถตราม้าลำพอง ยี่ห้อ "คามาซ" (KAMAZ) ได้แชมพ์มากกว่ารถค่ายอื่นใดทั้งหมด รวม 10 สมัย เคยได้แชมพ์ติดต่อกัน 5 สมัย ในปี 2002-2006 และติดต่อกันอีก 3 สมัย ในปี 2009-2011 นี่เอง ส่วนนัก "ซิ่ง" ขาประจำ (เว้นบ้างบางปี) ควบรถ คามาซ เข้าวินตั้ง 7 ครั้ง โอ้แม่เจ้า จนได้ฉายา "ท่านซาร์แห่งดาการ์" (THE TSAR OF DAKAR) คือ วลาดิเมียร์ ชาจิน เกิดปี 1970 ขณะนี้อายุแค่ 40 กว่าปีเอง
พี่ไทยเจ้าหนึ่ง จองข้างรถ คามาซ ที่ควบปานม้าลำพอง ในสนามแรลลีหฤโหด ทั้งแรงทั้งเร็ว ตะลุยดะทุกสภาพพื้นที่ ไม่มีติดขัด ไม่มีคว่ำ ได้อย่างเหลือเชื่อ โฆษณาสินค้าไปทั่วโลกอย่างเต็มเหนี่ยว คือ "กระทิงแดง" (RED BULL) ของเรานั่นเอง ตาถึงจริงๆ
ที่น่าแปลก คือ รถบรรทุกสารพัดแบบยี่ห้อ คามาซ ขายไปทั่วโลกตั้ง 80 ประเทศ ผลิตมาแล้วเกือบ 2 ล้านคัน อินเดียมีโรงงานสาขาใหญ่โต แต่พี่ไทยดูเหมือนจะไม่รู้จัก ลุ่มหลงรถพี่ยุ่นลูกเดียว ฮา...
ว่างๆ ลองจิ้ม YOUTUBE และ GOOGLE ด้วยคำว่า KAMAZ ดูแล้วท่านจะอึ้งทึ่งเสียว นายแน่มากๆ อ้อ ตบท้ายนิดหนึ่ง รถบรรทุกที่เคยแย่งตำแหน่งเขาได้ คือ รถยี่ห้อ ตาตรา (TATRA) ของประเทศสาธารณรัฐเชค ขานี้ไม่ย่อยเหมือนกัน ได้แชมพ์ดาการ์ แรลลีมาแล้ว 6 สมัย ถ้าไม่มีรายนี้ขัดคอในบางปี คามาซ กินรวบละกัน
ต้องตัดฉากเข้าสู่เนื้อหาว่าด้วยคดี เพื่อความครึกครื้น ก่อนจะหมดเนื้อที่กันได้เลย
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ "นายอย่างดี" เจ้าของ บริษัท จัดสรรอย่างดีแน่นอน จำกัด ปิดโครงการตามเป้า มีลูกค้าของตนอาศัยอยู่ในโครงการจนเต็ม ขณะที่เจ้าตัวมีตึกแถวอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นทางกว้างตั้งแต่ 3 เมตรครึ่ง ถึง 5 เมตร หลายคูหา และแล้วก็เกิดต้องการค่าเช่าเพิ่มขึ้น จึงสร้างแผงร้านค้าด้วยโครงเหล็กมุงหลังคารวม 5 แผง ขึ้นบนทางเข้าหมู่บ้านมันดื้อๆ เหลือทางกว้างแค่ 2 เมตรครึ่ง
ลูกค้าส่วนใหญ่หวานอมขมกลืน มีแต่เฉพาะ "นายหนักหน่วง" ซึ่งอยู่ใกล้ทางกว่าเพื่อนรู้สึกหงุดหงิด หนอยมันขายบ้านจัดสรรหมดก็ออกลายทันที ยังงี้ต้องสอย เอ๊ย ต้องฟ้อง ทนายรายหนึ่งจึงมีงานทำ ยื่นฟ้องบังคับให้รื้อแผงร้านค้าออกไปจากทางภาระจำยอมนั้นเสีย และจ่ายค่าเสียหายเดือนละ 27,000 บาท/เดือน จนกว่าจะเคลียร์ทางให้เหมือนเดิม
จำเลย คือ จัดสรรอย่างดีแน่นอน ฯ และเถ้าแก่อย่างดี ตั้งป้อมสู้ความ อ้างว่าเป็นทางภาระจำยอมของหมู่บ้านก็จริง แต่จุดประสงค์เป็นทางเดินเท้า รถยนต์เข้าไม่ได้ ไม่เห็นเหรอ ส่วนหนึ่งของทางเป็นขั้นบันไดอยู่ทนโท่ เว้นทางตั้ง 2 เมตรครึ่ง เหลือกินเหลือใช้ อีกแง่หนึ่งเมื่อใช้เป็นทางเดิน ส่วนที่เกินไม่ได้ใช้สอย จึงหมดสภาพจากการเป็นทางภาระจำยอมไปแล้ว ต้องยกฟ้องลูกเดียว
ศาลชั้นต้นพิจารณาโดยออกเหงื่อ นั่งหน้ามุ่ยฟังพยานโจทก์จำเลยจนได้ที่แล้ว จึงตัดสินให้ นายหนักหน่วง ผู้เป็นโจทก์ชนะคดี ให้จำเลยรื้อและเคลียร์ทางดังเดิม จ่ายค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท จนกว่าจะเคลียร์เสร็จ
นายอย่างดี และ จัดสรรอย่างดีแน่นอน ฯ ในฐานะจำเลยไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ยื่นอุทธรณ์ขึ้นไป เชื่อว่าจะพลิกคดีได้ แต่จ๋อย
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้จำเลยแพ้เป็นยกที่ 2
เรื่องยาวถึงศาลฎีกา ในเมื่อ จัดสรรอย่างดีแน่นอน ฯ และนายอย่างดี มั่นใจว่าต้องนอคยกท้ายตามที่ทนายยืนยันมั่นเหมาะ ยื่นฎีกาขึ้นไป อ้างเหตุผลเช่นเดิม
ศาลฎีกาเหล่ดูคดีนี้พลางถอนหายใจไม่รู้กี่เฮือก เพราะคดีรอคิวยาวเป็นกิโลๆ กัดฟันพิจารณาคดีนี้แล้วชี้ออกมา
ได้ความชัดว่าเป็นทางภาระจำยอมของหมู่บ้านในโครงการ ให้ใช้เดินให้ใช้รถก็ตามแต่ ทางอยู่ในสภาพยังไงกว้างแค่ไหน ต้องอยู่ยังงั้น ใครจะไปลดทอนทำให้เสื่อมความสะดวกผู้มีสิทธิ์ใช้ทางเสียประโยชน์ไม่ได้หรอก ข้ออ้างว่าเป็นทางเดินมาตลอด ส่วนที่ นายอย่างดี สร้างแผง คือ ส่วนที่หมดสภาพ ไม่ได้เป็นทางภาระจำยอมแล้ว เพราะไม่ได้ใช้รถเข้า/ออก ศาลฎีกาโต้กลับไปว่า ตามข้อเท็จจริงทางนี้เชื่อมถนนสาธารณะ ซึ่งเป็นถนนหลักเส้นหนึ่งในจังหวัดอย่างเห็นๆ จะมาโมเมอ้างดื้อๆ ว่า ทางภาระจำยอมส่วนหนึ่งหมดสภาพไปแล้ว เลยขึ้นแผงร้านค้าเอาเปรียบคนอื่นไม่ได้หรอก ฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกาจึงยอมเมื่อยขา พิพากษายืนให้โจทก์ชนะขาดไปเลย
ก็ยังนี้แหละครับ คนเราเมื่อ "ตัวเห็นแก่ได้" เข้าครอบงำ ย่อมทำแมวๆ ได้ทั้งนั้น โรงศาลจึงมีงานมือเป็นระวิง คดีกองอื้อซ่าอยู่ที่ศาลไทย แต่ละคดีเสียเวลามากมายก่ายกอง ตัดสินชี้ขาดไม่ได้ง่ายๆ เป็นปัญหาใหญ่ แก้ไม่ตกดังที่ปรากฏนั่นแล ใครไม่เป็นความไม่รู้หรอก
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84837