รู้ไว้ใช่ว่า
เอารถหนีน้ำ
สังเกตไหมครับ น้ำท่วมเมื่อไหร่ นอกจากเราๆ ท่านๆ จะเดือดร้อนสังขาร รถยนต์ มักตกเป็นเหยื่อไปด้วย ไม่เชื่อหันไปดูภาพข่าวเหตุการณ์สึนามิถล่มญี่ปุ่น ที่ผ่านมาหยกๆ รถยนต์โดนเต็มๆ ลอยไปทั่ว
บ้านเราก็เช่นกัน น้ำหลากน้ำท่วมเมื่อไหร่ มีรถจมน้ำเสมอ รถที่เมืองไทยไม่ได้ราคาถูกอย่างญี่ปุ่น คนระดับกลางลงมตะเกียกตะกายจนหูตูบ จึงจะหารถมาใช้ได้สักคัน เพราะรัฐเก็บภาษีโหดมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อรถเสียหายเพราะจมน้ำ ใครไม่โดนไม่รู้หรอกว่า ช้ำใจแค่ไหนโดยเฉพาะเมื่อเกิดจากภัยธรรมชาติ บริษัทประกันไม่คุ้มครองอีกต่างหาก
ผมมีแนวคิดอยู่อย่างหนึ่ง กรณีที่บ้านช่องห้องหอของเราอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมง่าย น้ำมาฝนมาทีไรมักไม่รอดสันดอน ท่านลองทำที่เก็บรถหรือจอดรถให้พ้นน้ำ เช่น จอดในที่สูงกว่าปกติ หรือพื้นขยับขึ้น/ลงได้ หรือในจุดที่น้ำเข้าไม่ถึง กั้นน้ำไว้ สูบน้ำออกได้ทัน ลองใช้หัวหรือปรึกษาคนช่างคิดช่างประดิษฐ์เขาดู ที่แน่ๆ คือ ยึดหลักความปลอดภัยไว้ด้วย เช่น ไม่ให้รถเลื่อนไหลลงมาทับอะไรต่อมิอะไร รวมทั้งทับคนก็โอเค ถึงคราน้ำมาจริงๆ รถไม่เป็นไรเลย ยืดอกทำเท่ได้สบาย ใครๆ ก็ชมว่าหัวแหลม
คดีนี้น่าสนใจ เป็นเรื่องที่ รถยนต์ ตกเป็นเหยื่ออีกเช่นกัน คือ เหยื่อของเจ้าหนี้นั่นแล ถ้ามีรถใช้แล้วหลวมตัวก่อหนี้ หรือเอาทะเบียนรถไปจำนำ ตามที่บริษัทต่างๆ โฆษณาเชิญชวนด้วยคำหวาน แล้วหาเงินใช้หนี้ไม่ทัน
นายตุนทอง กับ นางสะสมเงิน ขยันทำมาหากินแบบตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอท แต่ยังไงไม่รู้กลับเป็นหนี้ นางเบี้ยน้อย หลายแสนบาท เมื่อผิดนัดไม่ส่งดอกส่งต้น นางเบี้ยน้อย จึงให้ทนายฟ้อง นายตุนทอง บังคับให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ ทั้งต้นทั้งดอกเกือบ 6 แสนบาท สัญญากู้ นางสะสมเงิน เซ็นเป็นพยานไว้ด้วย
จำเลย คือ นายตุนทอง ไม่หัวหมอ ไม่ชักเย่อ ไม่ต้องเสียเงินจ้างทนาย ไปที่ศาลขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ตกลงว่าจะชำระหนี้ให้ นางเบี้ยน้อย ภายในกำหนด 1 ปี ไม่มีบิดพลิ้ว นางเบี้ยน้อย สบายใจ ถือว่ายกเดียวเชคบิลล์ ไม่ต้องขึ้นศาลหลายเที่ยว ทนายเค้าเก่ง โป้งเดียวจอด
จอดจริงไม่จริงเดี๋ยวรู้ นางเบี้ยน้อย นั่งรอนอนรอจนครบกำหนดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ นายตุนทอง ทำเฉย ถ้ามีทองตุนไว้จริงก็ไม่เอามาโชว์ นางเบี้ยน้อย ทราบว่ามา นางสะสมเงิน มีรถยนต์ของเธอต่างหาก จะเอาไปขาย
นางเบี้ยน้อย รีบปรึกษาทนาย ได้ผลระดับหนึ่ง คือ ได้ขึ้นศาล ยื่นฟ้อง นางสะสมเงิน เมียของ นายตุนทอง ด่วนจี๋ อ้างว่าเจ้าหล่อนเป็นลูกหนี้ร่วมตามสัญญากู้ที่เคยนำมาฟ้อง นายตุนทอง เพราะ นางสะสมเงิน เป็นเมียตามกฎหมายของ นายตุนทอง และเซ็นรับรู้การกู้ยืมจึงฟ้อง นางสะสมเงิน บังคับให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้พร้อมดอกเบี้ยได้สบาย
ศาลชั้นต้นหยิบสำนวนที่ลูกน้องนำมาเสนอ แล้วยิ้มกว้าง เพราะรู้ว่าไม่ต้องออกเหงื่อ เนื่องจาก นางเบี้ยน้อย แต่เงินแยะ นำสัญญากู้ฉบับเดิมมาฟ้องเขาอีก มองว่าเป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้องได้ทันที โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน นางสะสมเงิน ยังไม่ทันได้นุ่งเสื้อนุ่งผ้าออกจากบ้านไปศาลเสียด้วยซ้ำ
มันชักยังไงซะแล้ว นางเบี้ยน้อย หน้าหงิกใส่ทนาย ไหงทำคดีแบบนี้ ทนายบอกว่าไม่เป็นไร ตามแง่กฎหมายไม่เป็นฟ้องซ้ำแน่นอน เดี๋ยว
ผมจะพิสูจน์ให้ชมโดยเร็ว ด้วยการยื่นอุทธรณ์ตรงไปยังศาลฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ยันไปว่างานนี้ไม่ใช่ฟ้องซ้ำ ศาลฎีกาจึงได้รับคดีนี้มาพิจารณา โดยไม่ต้องแวะไปที่ศาลอุทธรณ์อย่างคดีอื่นๆ แล้วชี้จนขาดออกมาว่า
เมื่อ นางสะสมเงิน เซ็นเป็นพยานรับรู้การที่ นายตุนทอง สามี กู้ยืมเงินจาก นางเบี้ยน้อย มีการยอมรับในคดีที่ นายตุนทอง โดนฟ้องไปแล้ว เข้าข่ายให้สัตยาบันการกู้ยืมของสามี นางสะสมเงิน จึงตกเป็นลูกหนี้ร่วม (ตามสัญญากู้) อย่างหนีไม่พ้น
ศาลฎีกาแจงต่อไปว่า เมื่อเป็นลูกหนี้ร่วม หรือมีลูกหนี้หลายคนในสัญญากู้ เจ้าหนี้จะฟ้องยกพวง หรือเลือกฟ้องทีละคนก็ได้ การที่ นางเบี้ยน้อย ขยันขันแข็ง นำสัญญากู้มาฟ้อง นางสะสมเงิน อีกคดีหนึ่ง จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ดังที่ศาลชั้นต้นแทงมานั่นหรอก
ศาลฎีกาอ่านคำตัดสินถึงตรงนี้ ทนายของ นางสะสมเงิน ยิ้มหรา พลางกระทุ้งศอกใส่สีข้าง นางเบี้ยน้อยเป็นการสะกิดให้รู้ว่า เห็นฝีมือไหม ฟ้องได้อย่างที่ฉันว่าไว้เป๊ะเลย นางเบี้ยน้อย เจ็บสีข้างพอสมควร แต่ก็ยิ้มออก
แต่แล้วศาลฎีกาท่านก็อ่านคำตัดสินต่อ เพราะยังไม่จบ...ครั้นเมื่อได้ความว่า คดีก่อน นายตุนทอง ได้ทำสัญญายอมไปแล้ว โดย นางสะสมเงิน ไม่ได้ทำสัญญายอมด้วย ผลคือ เกิดหนี้ใหม่ ตามที่ตกลงกันในสัญญายอม มัดเฉพาะ นายตุนทอง ส่วนหนี้เก่าในสัญญากู้เท่ากับหมดไป ไม่เหลือซากที่จะนำมาฟ้อง นางสะสมเงิน เมียของ นายตุนทอง อีกหรอก เพื่อไม่ให้คดียืดเยื้อ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะพิจารณาแง่นี้ไปเลย และมีทางเดียวต้องยกฟ้องของ นางเบี้ยน้อย ทิ้งไป
นั่นคือ ศาลฎีกายอมเมื่อย พิพากษายืน
จริงอยู่ นางเบี้ยน้อย ตามไปไล่บี้ นายตุนทอง ได้ในคดีเดิม แต่ถ้า นายตุนทอง ไม่มีทอง ไม่มีอะไรเลย ขณะที่เล็งแล้วว่า นางสะสมเงินน่าจะมีภาษีกว่า พอจะรีดเอาเงินได้ เชื่อว่า นางเบี้ยน้อย คงลมใส่ ทนายเผ่นไปตั้งหลักหลายกิโล เพราะแพ้คดีแบบหมดรูป รีดจาก นางสะสมเงิน ในคดีเก่าก็ไม่ได้ คดีใหม่ก็จอดป้าย โดยจำเลย คือ นางสะสมเงิน ไม่ต้องนุ่งผ้านุ่งผ่อนเยื้องย่างไปศาลแม้แต่ก้าวเดียวนี่คือฤทธิ์เดชของกฎหมาย สามารถทำให้โห่ฮา ดีใจลงจากศาล หรือหน้าเหลืองเข่าอ่อน ต้องหิ้วปีกลงจากศาลได้เสมอ คนในศาลเห็นภาพพรรค์นี้กันจนชินแล้ว
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7631/2552
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84736