รอบรู้เรื่องรถ
แมคลาเรน เอมพี 4-12 ซี ต้องอย่างนี้ถึงจะดีจริง
ถ้ามองย้อนไปในอดีต อย่าให้ไกลมากนัก เราจะพบว่า มีทีมแข่งรถ สูตร 1 หรือ เอฟ วัน อยู่เพียง 2ทีมเท่านั้น ที่สร้างรถแข่งไปพร้อมกับสร้างรถสปอร์ทออกจำหน่ายด้วย คือ แฟร์รารี จากอิตาลี และแมคลาเรน สัญชาติอังกฤษ แฟร์รารี นั้นสร้างรถแข่งเองทั้งคัน ทุกส่วน ในการมอง "ภาพใหญ่" นะครับ เพราะในความเป็นจริงก็ต้องอาศัยผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยอยู่ดี ส่วน แมคลาเรน ใช้เครื่องยนต์ของผู้อื่นมาตลอด ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือ แฟร์รารี มีรถสปอร์ทให้ลูกค้าเลือกซื้อ หลายรุ่น หลายระดับด้วยกัน ส่วน แมคลาเรน สร้างระดับเดียวเท่านั้น คือ ระดับสูงสุดยอด สร้างมาแล้ว 3 รุ่น ด้วยกัน รุ่นแรกใช้ชื่อรุ่นว่า เอฟ วัน ตามงานหลักที่ถนัดของ แมคลาเรน คือ การสร้างรถแข่ง สูตร 1 ออกแบบรถทั้งคันโดย กอร์ดอน เมอร์เรย์ (GORDON MURRAY) ยอดวิศวกรรถแข่ง เอฟ วัน แมคลาเรน ให้ เมอร์เรย์ รังสรรค์งานถนัดได้เต็มที่ โดยไม่กังวลเรื่องต้นทุนการผลิต และ เมอร์เรย์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ เอฟ วัน เป็นรถสปอร์ทที่ตัวเบา โครงรถแกร่ง ช่วงล่างชั้นเยี่ยม แม้แต่ตำแหน่งคนขับ ยังต้องสมบูรณ์ แบบ เมอร์เรย์ ให้นั่งตรงกลางเช่นเดียวกับในรถแข่งที่สร้างมาเพื่อการแข่งโดยเฉพาะ โดยมีผู้โดยสารนั่งขนาบได้ข้างละคน ถอยหลังมาพอสมควร เพื่อให้ผู้ขับขึ้น/ลงไม่ลำบากนัก เมอร์เรย์ เลือกเครื่องยนต์แบบความดันบรรยากาศ คือ ไม่ใช้เทอร์โบ หรือ ซูเพอร์ชาร์เจอร์ แล้วยังประจวบเหมาะได้นักสร้างเครื่องยนต์ระดับ "เทพ" อย่าง บีเอมดับเบิลยู มารับงานนี้พอดี ก็เลยเอาบลอคเครื่องยนต์ วี 12 สูบ มาเป็นฐาน ปรับปรุงชิ้นส่วนภายใน ออกแบบฝาสูบ ให้ได้กำลังสูงเกิน 600 แรงม้า เอฟ วัน ของ แมคลาเรน จึงกลายเป็นรถสปอร์ทชั้นยอดของโลก แต่ยิ่งผลิตก็ยิ่งขาดทุนเพราะต้นทุนล้ำหน้าราคาขาย จนต้องลิกผลิตก่อนกำหนดไปในที่สุด เอฟ วัน จึงเป็นยอดรถสปอร์ท ที่จะกลายเป็นตำนาน เป็นดาวค้างฟ้า หรืออะไรก็ตามแต่จะเรียกกัน ราคาขายต่อพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานก็คงจะซื้อขายกันได้เฉพาะในงานประมูลรถ ในระดับหลายร้อยล้าน (บาท) เท่านั้น รถสปอร์ทรุ่นที่ 2 ของ แมคลาเรน ตรงกันข้ามกับรุ่นแรกเกือบทุกด้าน ยกเว้นอย่างเดียวคือ "ความแพง" นอกจากนี้ก็ยังไม่รู้แน่ว่ามันเป็น เมร์เซเดส-เบนซ์ หรือ แมคลาเรน กันแน่ เพราะช่วงเวลานั้น เมร์เซเดส-เบนซ์ มีอิทธิพลมากกว่า เพราะถือหุ้นอยู่ถึง 40 % ชื่อเรียกก็ต้องนำหน้าด้วย เมร์เซเดส-เบนซ์ หน้ารถก็มีดาวสามแฉกเป็นเอกลักษณ์ จะเรียกว่าเป็นโชคของ แมคลาเรน เพื่อปลอบใจก็พอได้ครับ รถรุ่นนี้ขายไม่ออก เพราะคนที่จะจ่ายเงินซื้อรถระดับนี้ ต้องได้ "ความพิเศษ" ตอบแทนเพียงพอแต่รถนี้ให้ไม่ได้เลย รูปร่างหน้าตาไม่สวยจริง ยิ่งฝากระโปรงทรงหัวรถแข่ง สูตร 1 ด้วยแล้ว คนที่เข้าใจเรื่องความสวยงามของรถ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อัปลักษณ์ที่สุด ยิ่งมองด้านข้าง จะเห็นได้เลยว่า สัดส่วนระหว่างส่วนหน้าของรถกับห้องโดยสาร ก็ผิดเพื้ยนอย่างมาก เครื่องยนต์ก็ขาดความพิเศษ เพราะใช้เครื่อง 8 สูบ สูบละ 3 วาล์วเท่านั้น ความจุ 5.4 ลิตร ถึงจะได้กำลังเกิน 600แรงม้า ก็มาจากซูเพอร์ชาร์เจอร์แบบพื้นๆ ครับ ยอดขายที่ถูกตั้งไว้ปีละ 500 คัน ทำได้เพียงปีแรกเท่านั้น ถัดมาเหลือเพียงปีละ 200 กว่าคันเท่านั้นพอรอดตัวไปได้จากความนิยมของเศรษฐีในสหรัฐอเมริกา ที่ไม่พิถีพิถันกับคุณสมบัติของรถ ต่างจากเศรษฐีนักนิยมรถในยุโรปครับแมคลาเรน มีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งในรุ่นที่ 3 ด้วยรุ่น เอมพี 4-12 ซี เป็นผลงานของ แมคลาเรน เองทั้งคัน โครงรถสร้างจากใยคาร์บอนเช่นเดียวกับรถ สูตร 1 เป็นงานถนัดของ แมคลาเรน อยู่แล้วเครื่องยนต์เป็นของ แมคลาเรน เอง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมีโรงงานสร้างเองนะครับ งานระดับนี้ต้องหา ผู้ร่วมงานฝีมือดี แมคลาเรน ใช้บริษัท ริคาร์โด (RICARDO) ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ของอังกฤษ พัฒนาเครื่องยนต์ให้ใหม่ ริคาร์โด เอง ก็ไม่ใหญ่โตขนาดที่จะสร้างเครื่องยนต์เองได้ จึงต้องหาเครื่องยนต์ที่มีอยู่ใน ตลาด มาเป็นฐานครับ โดยเลือเครื่องยนต์แข่ง รุ่น VRH 35 แบบ วี 8 สูบ ของ นิสสัน มีเพียงขนาดกระบอกสูบ เส้นผ่านศูนย์กลาง 93 มม. ที่เป็นของเดิมจาก นิสสัน นอกนั้น ริคาร์โด และ แมคลาเรน ปรับปรุงใหม่ให้เหมาะกับ เอมพี 4 โดยเฉพาะ ระยะชักถูกเลือกให้ได้ความจุ 3.8 ลิตร ลงตัวที่ 69.9 มม. ใช้เทอร์โบ 2 ชุด อัดอากาศเข้าเครื่องได้กำลัง 592 แรงม้าที่ 7,000 รตน. แรงบิดสูงสุด คงที่ตั้งแต่ 3,000- 7,000 รตน. น้ำหนักตัวรถ แม้จะถูก รีด อย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังเกิน 1,400 กก. ไปหน่อยครับ ยังห่างจากรุ่น เอฟ วัน ที่สร้างแบบไม่กลัวต้นทุนสูงอยู่หลายร้อยกิโลกรัม ไม่ถือว่าแย่ครับ ถ้าคำนึงถึงราคาขายของรุ่น เอมพี 4 ที่ตั้งไว้ 164,000 ปอนด์ อัตราเร่งจากการทดสอบของนิตยสารรถในต่างประเทศ 0-96 กม./ชม. 3.3 วินาที 0-161 กม./ชม. 6.7 วินาที 0-240 กม./ชม. 15.3 วินาที ไม่ใช่ความบังเอิญครับ ที่ แมคลาเรน เอมพี 4 เป็นคู่แข่งหมายเลขหนึ่งของ แฟร์รารี 458 อิตาลีอา เพราะถ้าทั้งคู่สร้างยอดรถแข่งระดับ เอฟ วัน หรือ สูตร 1 ได้ แล้วพยายามสร้างรถสปอร์ทที่ดีที่สุดออกมาขาย มันก็ต้องเป็นยอดรถสปอร์ทระดับเดียวกันอย่างแน่นอน และก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ทั้งนักนิยมรถสปอร์ทราคาสูง และนักทดสอบรถของนิตยสารรถชั้นนำ ต่างรอการเปรียบเทียบโดยการทดสอบ ว่าฝ่ายไหนจะสร้างรถระดับนี้ได้ดีกว่า และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ผลการทดสอบให้ฝ่าย แฟร์รารี เป็นฝ่ายชนะแบบเฉียดฉิว แต่ชัดเจน เกือบทุกครั้งโดยเฉพาะผลของนิตยสาร AUTOCAR และ EVO สัญชาติอังกฤษ เช่นเดียวกับ แมคลาเรน บ่งบอกถึงความเป็นกลางเชื่อถือได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดครับ ที่คะแนนรวมของ แมคลาเรน แพ้ แฟร์รารี และผมก็ไม่ใช่ผู้ที่ชอบ แมคลาเรน มากกว่า แฟร์รารี ด้วย แต่ที่นำเรื่องนี้มาเขียน เป็นเพราะชื่นชมในความมุ่งมั่นของเหล่าผู้สร้าง แมคลาเรน เอมพี 4 นี้ ที่ต้องการทำให้มันเป็นรถที่ดีที่สุดของรถประเภทเดียวกัน โดยปราศจากทิฐิด้านลบ หลังจากที่ทีมทดสอบของนิตยสาร EVO ตัดสินให้ 458 อิตาลีอา ชนะ เอมพี 4 แฮร์รี เมทคาลเฟ (HARRY METCALFE) ผู้ร่วมทีมทดสอบของ EVO ได้ส่ง อี-เมล์ ถึง แอนโทนี เชรีฟฟ์ (ANTONY SHERIFF) กรรมการผู้จัดการของ แมคลาเรน ออโทโมทีฟ อธิบายจุดอ่อน 3 จุด ของ เอมพี 4 ซึ่งหากได้รับการปรับปรุงหรือแก้ไข ก็จะทำให้รถรุ่นนี้ดีขึ้นทันที ซึ่งก็คือ 1. เสียงเครื่องยนต์ขณะเร่งเต็มที่ ซึ่งมีความหมายมากต่อลูกค้ารถระดับนี้ แต่ เอมพี 4 ยังขาดเสียงคำรามจากการดูดอากาศเข้ากระบอกสูบของเครื่องยนต์ ยิ่งเป็นผู้ที่เคยสัมผัส แมคลาเรน รุ่นแรก คือ เอฟ วัน ของ กอร์ดอน เมอร์เรย์ มาแล้ว และคุ้นเคยกับเสียงคำรามจากท่อไอดีเป็นอย่างดีย่อมผิดหวังเป็นอย่างมาก 2. คันเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย แข็งเกินไป ต้องออกแรงกดมาก จึงจะเปลี่ยนเกียร์ได้ 3. ความรู้สึกขณะหมุนพวงมาลัย ตอนเริ่มเข้าโค้ง ยังไม่แม่นยำและให้ความรู้สึกดี สมกับรถสปอร์ทระดับนี้ เมทคาลเฟ เสนอความเห็นไปด้วยว่า ถ้าปรับการโคลงของรถ หรือเปลี่ยนความแข็งของบุชยางที่ล้อหน้า น่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เมทคาลเฟ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทีมงานที่พัฒนา เอมพี 4 จะให้ความสำคัญกับความเห็นที่เสนอไปแค่ไหน ไม่ง่ายนักที่นักสร้างรถแข่ง สูตร 1 จะยอมเชื่อนักทดสอบรถคนหนึ่ง แต่แล้วเพียง 7 วันต่อมา เมทคาลเฟ ก็ได้รับคำเชิญไปเยี่ยมบริษัท แมคลาเรน บอกด้วยว่าเกี่ยวกับเรื่องที่เขาท้วงติงไปทั้ง 3 ข้อ เมทคาลเฟ เล่าให้ผู้อ่านฟังทีหลังว่า เสียวอยู่เหมือนกัน ว่าจะถูกตามไป ถล่ม หรือเปล่า แต่ก็หายกังวลเมื่อไปถึงบริษัทเพราะ แอนโทนี เชริฟฟ์ กรรมการผู้จัดการออกมาต้อนรับด้วยตนเอง พร้อมกับเชิญทดลองขับ เอมพี 4 ที่ใช้ในการพัฒนา โดยได้ทำการแก้ไขและปรับปรุงจุดอ่อนทั้ง 3 ข้อ เรียบร้อยแล้ว แป้นเปลี่ยนเกียร์ถูกปรับให้ใช้แรงน้อยลง เสียงเครื่องยนต์ขณะเร่ง ดังขึ้น และดังแบบน่าฟัง ไม่ใช่แบบทำให้เครียด เพราะจะดังมากเฉพาะตอนเร่งเท่านั้น เมื่อใช้ความเร็วคงที่ ก็จะอยู่ในระดับที่ไม่ทำให้เครียด ทีมวิศวกรใช้วิธีเปิดช่องให้เสียงลอดเข้าไปในห้องโดยสารได้ดีกว่าเดิม ส่วนข้อที่ 3 คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ ในการปรับปรุง แต่เท่านี้ก็ทำให้ทุกคนในวงการรถยนต์ ประทับใจในความมุ่งมั่นของทีมพัฒนารถรุ่นนี้แล้วครับ เมทคาลเฟ เล่าไว้ใน EVO ฉบับต่อมาว่า เราไม่สงสัยเลยว่า เอมพี 4 จะต้องเป็นรถสปอร์ทที่ดีที่สุดในโลก ด้วยทีมงานที่มุ่งมั่นระดับนี้ คงต้องรอการทดสอบ นัดล้างตา ครับว่า เอมพี 4 จะชนะหรือไม่ และถ้าใช่ จะมีเสียงด่ามาจากโรงงาน แฟร์รารี และผู้คลั่งไคล้ รถตรานี้หรือไม่ผมเชื่อว่า การฟังความเห็นลูกค้า แล้วนำมาปรับปรุงแกไใข เป็นหัวใจของความสำเร็จ ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ที่ขายจะเป็นอะไรก็ตามครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84487