แนะนำเพลง
THE GIRL WITH THE DRAGON TATTOO
THE GIRL WITH THE DRAGON TATTOO
"ตามหาความจริงในสวีเดน"
เนื่องเพราะความไร้ซึ่งสิ่งน่าสนใจในปัจจุบัน จากสภาวการณ์สุญญากาศในโรงภาพยนตร์ และร้านดีวีดี ที่ดูเหมือนว่าหาหนังดีๆ มาคุยกันยากเหลือเกิน จึงทำให้ผู้เขียนลองเดินทางออกนอกกรอบจากหนังในกระแสหลัก (อีกครั้ง) เพื่อตามหาบางอย่างที่น่าสนใจกว่า มานำเสนอให้กับผู้อ่าน
การเดินทางออกนอกเส้นทางหลักในครั้งนี้ ทำให้ได้มารู้จักกับภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมจากประเทศสวีเดน ในชื่อภาษาอังกฤษว่า THE GIRL WITH THE DRAGON TATTOO ซึ่งสร้างมาจากนวนิยายไตรภาคอันลือชื่อ มียอดจำหน่ายหลาย 10 ล้านเล่ม และได้รับการแปลหลายภาษา
ในตอนที่จะเอ่ยถึงนี้ คือ ภาคแรกของทั้ง 3 ภาค หลายคนบอกต่อกันว่าเป็นภาคที่ดีที่สุด จนฮอลลีวูดซื้อไปรีเมคใหม่ ไม่เกินปลายปีนี้ก็น่าจะเข้าฉายในบ้านเราเช่นเดียวกัน
เรื่องมันมีอยู่ว่า ลิสเบธ เด็กสาวอายุ 24 ปี ผู้มีรอยสักมังกรบนแผ่นหลัง จริงๆ แล้วอายุขนาดเธอควรจะเรียกว่าเป็นเธอะวูแมนมากกว่า แต่ทว่าปูมหลังที่มีการใช้ความรุนแรง ศาลจึงสั่งให้เธอจำเป็นต้องมีผู้ปกครองมาดูแล ทั้งด้านการเงิน และด้านอื่นๆ ตามแต่จะพิจารณา
เรื่องมันแย่ตรงที่ว่า ผู้ปกครองดังกล่าวที่ไม่ใช่ญาติ อาศัยช่องทางนั้นขืนใจ ใช้ความรุนแรงเพื่อความต้องการทางเพศ แต่ทว่า ลิสเบธ กลับมีวิธีโต้ตอบที่จะทำให้อุโมงค์ดำมืด เกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้า เพราะเธอกล้าสู้กับทุกสิ่ง และพร้อมจะก้าวต่อ แม้วันที่เลวร้ายเหลือแสน
แต่เส้นเรื่องจริงๆ ของหนังกลับเป็นเรื่องของการสืบสวนหาฆาตกร ผู้ทำให้ทายาทมหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่หายตัวไปอย่างลึกลับ ตั้งแต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ลิสเบธ ถูกดึงเข้ามาเอี่ยว เนื่องจากเธอถูกว่าจ้างให้เชคประวัติของนักหนังสือพิมพ์ตัวฉกาจ
ที่ว่าตัวฉกาจเพราะเขาเคยขุดคุ้ยเรื่องราวฉาวโฉ่ของคนดัง จนตนเองก็กลายเป็นนักข่าวโด่งดัง แต่แล้วก็ทำท่าจะเข้าตาจน เพราะโดนจัดฉาก เขียนข่าวไปกล่าวหาผู้มีอิทธิพลจนเขาฟ้องกลับ คล้ายว่าคราวนี้จะไม่รอดคุกแน่นอน
ระหว่างนี้เองมหาเศรษฐีจึงว่าจ้างเขาให้มาแกะรอยตามหาหลานสาวที่หายตัวไปตั้งนาน ซึ่งก็นานจนตำรวจที่ทำคดีอยากจะเกษียณตนเองให้พ้นๆ ไปจากเรื่องนี้ คือ มันเป็นปริศนาดำมืด เฝ้าหลอกหลอนคนที่เกี่ยวข้อง แต่ก่อนจะจ้างนักข่าวคนนี้มาสืบ ก็เลยจ้าง ลิสเบธ ซึ่งเป็นแฮคเคอร์มาเชคประวัตินักข่าวดูก่อนว่ามือถึงจริงไหม มั่วข่าวหรือเปล่า
หนังได้รับการยกย่องว่าดีมากๆ ได้อารมณ์เย็นเฉียบตามภูมิอากาศของฉากหลัง (เกาะปิดในแถบสแกนดิเนเวีย) แต่เรื่องก็ดำเนินไปอย่างสากล โครงเรื่องถูกวางอย่างขึงขังน่าติดตาม ประเด็นปูมหลังของ ลิสเบธ ก็ปูทางไว้เสริมเป็นอย่างดี แม้จะมาจากประเทศที่ไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ดูแล้วก็สนุกเร้าใจ และมีอะไรให้ค้นหาเกินกว่าคำว่าแปลกใหม่...
LIMITLESS
"ไม่มีลิมิท ชีวิตเกินร้อย !"
เคยมีใครคนหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า คนเราใช้สมองเพียงแค่ 20 % เท่านั้น และใครคนนั้นก็เชื่ออีกว่าหากคนเราใช้สมองได้ทั้งหมดที่มีทุกรอยหยัก โลกในวันหน้าจะพัฒนาไปเป็นอย่างไรบ้าง ก็คงยากเกินจะจินตนาการ เพราะเขาในวันนี้ก็ใช้สมองได้เพียงแค่ 20 % เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นคำตอบของคำถามที่ว่า โลกจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบใด หากคนเราใช้สมองได้ถึง 100 % ก็คือ ไม่รู้หรอก ! ปวดสมอง
แต่ถ้าถามใหม่ว่า หากใครคนใดคนหนึ่งสามารถดึงพลัง 80 % ที่เหลือ ออกมาใช้ได้ทั้งหมด เขาจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนอย่างไร
หนังเรื่องนี้มันเริ่มจากตรงนั้น เริ่มจากให้ เอดดี้ มอร์รา นักเขียนไส้แห้ง (เพราะไม่สามารถเขียนอะไรได้เลย) ได้ลองเพิ่มขีดจำกัดของสมองตนเอง ผ่านยาที่ชื่อ NCT ยาเม็ดใสๆ ไร้แหล่งที่มา รู้แต่ว่ากินแล้วจะออกผลภายในครึ่งนาที
เมื่อออกผลแล้ว หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ FEEL GOOD ดวงตาเห็นความเคลื่อนไหวทะลุปรุโปร่ง ประหนึ่งว่ามีกำลังซูมได้ซอกซอนทั่วทุกมุมเมือง ทุกอย่างที่เคยผ่านตาแล้วเข้าไปอยู่ในสมองจะถูกขุดคุ้ยออกมาใช้ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นเมื่อตอนที่คุณอายุ 20 ปี หรือตอนยังเลียไอติมหน้าทีวีเมื่อยังเล็ก
ภาษาแปลกหูที่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเข้าใจ ก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งภาษาที่สามารถพูดได้คล่องปาก ร่างกายจะเริ่มปึ๋งปั๋งพร้อมหน้าตาที่สดใส และสุดท้ายคุณก็จะกลายเป็นคนที่พอพพูลา หรือที่ศัพท์สมัยใหม่เขาเรียกว่าเป็นบุคคลประเภท อัลฟาแมน (ALPHA MAN)
อัลฟาแมน ก็คือ นิสัยถาวรของคนชนชั้นผู้นำ คือ เป็นคนที่เดินไปทางไหน ใครๆ ก็อยากเดินตาม เป็นคนที่รอบรู้ และน่าอยู่ด้วยโดยธรรมชาติ ไม่ใช่พวกถือศักดินามาแต่กำเนิด แต่เป็นคนที่ COOL โดยตนเอง รู้จักฟังและรู้จักถ่อมตัว ไม่คุยโม้โอ้อวด ทั้งๆ ที่อ่านมาไม่ถึงครึ่งหน้า
ทีนี้พอนักเขียนที่ว่ากินยาปลดลอคสมอง จากเคยตีบตันก็เขียนคล่องว่องไว ไม่ทันไรก็จบไปหลาย 10 หน้า เอาไปให้ บก. อ่านก็ถึงกับโทรมาชมใหญ่โต แต่ใครจะสนกับอาชีพจนๆ อย่างนักเขียน เอดดี ก็เลยเริ่มเล่นหุ้น เพราะคิดวิเคราะห์เก่ง แถมยังมีนิสัยรักการอ่าน กวาดตามองกราฟแป๊บเดียวก็โกยเงินได้มากมาย
ไม่ทันไรนายทุนใหญ่ระดับโลกก็ขอให้ทำงานด้วย แต่ติดปัญหาตรงที่ว่า นับวันยาก็ยิ่งร่อยหรอ ใครที่เคยกินแล้วก็อยากกินอีก ต้องกินเป็นประจำถ้าอยากฉลาดทุกวัน ไม่กินก็จะตาย กินๆ หายๆ ค่อยๆ เลิกก็จะแย่ คิดอะไรได้ไม่เกิน 10 นาที แถมจะมีนิสัยขี้เกียจ
หนังเขาผูกเรื่องไว้ประมาณนี้ มีปมแก้สถานการณ์คับขันพอดูได้เพลินๆ เพราะสมมติฐานมันค่อนข้างดี มีตัวละครน่าสนใจพอประมาณ พอสร้างเป็นหนังมันก็เลยน่าติดตามพอได้อยู่ ดูเอาบันเทิงอย่าไปคิดอะไรมาก เพราะถึงคิดให้ตาย มันก็ไม่เกินไปกว่า 20 % ที่สมองทำได้หรอก
ศิลปิน : RED HOT CHILI PEPPERS
อัลบัม : I'M WITH YOU
แนวดนตรี : FUNK ROCK
"คนจริงจะไม่มีวันตาย FUNK แท้ จะไม่มีวันล่มสลาย"
อัลบัมล่าสุดจาก FUNK ROCK ชื่อก้อง หัวหอกแถวหน้าที่น่าภาคภูมิใจของชาว FUNK กลับมาอีกครั้ง หลังจากห่างหายการออกอัลบัมเต็มไปตั้งแต่ปี 2006 โดยตอนนั้นเข็นเอา 28 เพลงใส่ในซีดีคู่อัดแน่นมา 2 ชั่วโมงเต็มๆ เป็นที่ถามหาของแฟนเพลงจำนวนไม่น้อยที่ทยอยออกจากบ้านไปซื้อมาสะสม (หลังจากประกาศรางวัลแกรมมีอวอร์ด)
แต่ความจริงก็ต้องยอมรับว่าอัลบัมชุดนั้นมีเพลงโดนๆ น้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับจำนวนเพลงทั้งหมด จนหลายคนลงมติสงสัยว่าพวกลุงคงจะแก่เกินการซะแล้ว ถึงสร้างงานออกมาแบบนี้ คือ ไม่ดีไม่เลว ไม่สูงไม่ต่ำ ถามว่าได้มาตรฐานไหม มันก็ได้ แต่ได้ใจหรือเปล่า ก็ตอบได้แค่อ้ำๆ อึ้งๆ
ผ่านไป 6-7 ปี RED HOT CHILI PEPPERS กลับมาอีกครั้ง พร้อมผลงานในชื่อเรียบง่าย I'M WITH YOU มีเพลงบรรจุอยู่ในอัลบัมมากถึง 14 เพลง (ต่างจากศิลปินรายอื่นๆ ที่ไม่ค่อยมากขนาดนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกคนเจ็บจากการโหลดเพลง)
ซิงเกิลแรก THE ADVENTURES OF RAIN DANCE MAGGIE ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ 3-4 เดือนที่แล้ว และสร้างปรากฏการณ์ขึ้นชาร์ทพอหอมปากหอมคอ แต่ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกันมาก ก็คือ การมาถึงของมือกีตาร์คนใหม่ JOSH KLINGHOFFER
เดิมทีวงนี้มีมือกีตาร์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวงอยู่คนหนึ่ง ต่อมาเขาคนนั้นก็เสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต เพื่อนมือกลองที่ตั้งวงมาด้วยกันอีกคนก็พลอยลาออกไปด้วย ทิ้งไว้ให้เหลือแค่นักร้องนำคนปัจจุบัน ANTHONY KIEDIS และมือเบสส์ที่สร้างชื่อเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของวง นั่นก็คือ MICHAEL "FLEA" BALZARY
ต่อมาตำแหน่งมือกีตาร์ก็ได้ JOHN FRUSCIANTE พ่อหนุ่มผมยาวมาแทนที่ มีอัลบัมที่ RED HOT CHILI PEPPERS สร้างขึ้นมาจนขึ้นชั้นกลายเป็นตำนาน FUNK อย่าง BLOOD SUGAR SEX MAGIK และ CALIFORNICATION พร้อมๆ กับการมาถึงและจากไปของมือกลองที่มารับช่วงต่อ (และก็ออกไปอีก) สุดท้ายก็ได้ CHAD SMITH มานั่งตีกลองจนถึงอัลบัมปัจจุบัน
สำหรับตำแหน่งมือกีตาร์ ว่ากันตามจริงแล้วแฟนเพลงส่วนใหญ่หลงใหลในลีลาของ JOHN FRUSCIANTE แน่นอน ไม่มีพยานปากใดมาให้การโต้แย้ง แต่ครั้งหนึ่ง JOHN FRUSCIANTE เองก็เคยออกจากวงไปเข้ารับการบำบัดยาเสพติด ก่อนจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง
มาครั้งนี้เขาก็ลาออกไปอีก ด้วยเหตุผลเพื่อการสร้างงานเดี่ยวของตนเอง แต่ทั้งนี้ก็ได้มือกีตาร์คนใหม่ JOSH KLINGHOFFER ชายหนุ่มอายุ 31 ปีมาแทน โดยมือกีตาร์คนนี้ได้มาจากการร่วมออกทัวร์กับวงในช่วงก่อนหน้านี้มาระยะหนึ่งแล้ว และมีพโรไฟล์ว่าเคยร่วมงานกับศิลปินชื่อดังคนอื่นๆ มามากมาย
BRENDAN'S DEATH SONG เป็นเพลงที่ขึ้นด้วยเสียงกีตาร์โปร่งง่ายๆ ก่อนจะตามด้วยเสียงร้อง เบสส์ และกลอง ถือเป็นเพลงที่ปล่อยออกมาเพื่อบอกโลกว่า คนจริงจะไม่มีวันตาย FUNK แท้ จะไม่มีวันล่มสลาย ด้วยเนื้อหาสดุดี BRENDAN ผู้ก่อตั้งคลับ FUNK ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งให้กำเนิดกลุ่มคนคอ FUNK มากมายรวมถึง RED HOT CHILI PEPPERS และอัลบัมชุดล่าสุดนี้ด้วย
ศิลปิน : ED SHEERAN
อัลบัม : +
แนวดนตรี : ACOUSTIC
"นักเรียนใหม่ห้อง A"
กำลังกล่าวถึงกันเกรียวกราว สำหรับนักร้องนักแต่งเพลงหน้าใหม่จากเกาะอังกฤษ เพราะแค่ซิงเกิลแรกก็สามารถ DEBUT ได้ไกลถึงอันดับ 3 ของ UK SINGLES CHART เพียงแค่ช่วงเวลาในสัปดาห์แรกเท่านั้น กับเพลงที่ชื่อว่า THE A TEAM จากอัลบั้มชุดแรกที่ชื่อ + ในสังกัด ATLANTIC RECORDS
โดยทางต้นสังกัดให้ข้อมูลไว้ว่า ED SHEERAN แต่งเพลงนี้ขึ้นมาหลังจากไปเล่นดนตรีให้กับผู้ไร้ที่อยู่อาศัยฟัง ในเนื้อเพลงจึงพยายามเอื้อนเอ่ยถึงความไม่จีรังของชีวิต บางทีอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะดีพอ ถึงที่จริงมันกลับไม่ใช่ มาใหม่ๆ เขาจัดไว้ห้องคิง เกรดเอ แต่สุดท้ายมันกลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เผลอดูอีกที อ้าว ! กลายเป็นควันลอยขึ้นไปบนฟ้าซะแล้วชีวิต
เพราะฉะนั้นโปรดจงอย่าด่วนตัดสินใจในเรื่องใดๆ ก่อนที่คุณจะเปิดใจ และถ่างหูฟังเพลงนี้ให้ดีๆ ซึ่งอันที่จริงเพลงนี้ที่มาไกลได้ถึงขนาดนี้ ก็ไม่ได้มีส่วนผสมใดที่เป็นยาขมสำหรับผู้ฟัง ซ้ำร้ายมันยังใช้วัตถุดิบที่เรียบง่ายที่สุด เสียงร้องจากก้นบึ้ง ไลน์กีตาร์สวยๆ เคล้าคลอไปกับเครื่องเคาะ และเพียโน จนบางคนเอาเขาไปเปรียบกับศิลปินรุ่นพี่อย่าง JASON MRAZ, JACK JOHNSON และ JOSHUA RADIN
ซึ่งจะว่าใช่มันก็ใช่ จะว่าไม่ใช่มันก็พอพูดได้ เพราะพอฟังถึงเพลง YOU NEED ME, I DON'T NEED YOU ซึ่งเป็นเพลงเร็ว กลับเปล่งประกายเฉิดฉายวาววับ เหมือนประหนึ่งว่าจะเหมาะกับการฟังในเมืองยามค่ำคืน เพราะมันไม่ใช่เพลงในสไตล์สายลมแสงแดด แต่เป็นเพลง POP ที่เร่งบีทขึ้นเร็วระรัว จนอาจกล่าวได้ว่ามันคือ เพลง DISCO RAP
กระนั้นก็ตาม สิ่งที่มีอยู่ในเพลงช้า และเพลงเร็วของ ED SHEERAN ก็คือ สไตล์การร้องที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยท่วงทำนองคำร้องที่เขาพากเพียรขัดเกลาแต่งมันขึ้นมาเอง เช่นเดียวกับฝีมือทางดนตรีที่เขาเฝ้าเรียนรู้และหมั่นฝึกซ้อม บวกกับความที่สนิทสนมกับ DAMIEN RICE อารมณ์ของบางเพลงจึงแทบจะพาน้ำตามาถมทับมหาสมุทร
แต่จะว่าไปมันก็ไม่เศร้าไปทั้งหมดซะทีเดียว คือ มันยังเป็นมุมมองของคนที่ผ่านโลกมายังไม่เยอะ ใช่ ! เขาเศร้า แต่มันไม่ใช่ความเศร้าแบบโศกสลดรันทดจิต ฟังแล้วชวนหดหู่สู้ชีวิตไม่ไหว (และเพลงสไตล์นี้ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของอัลบัมนี้อีกด้วย)
สุดท้ายบนถนนดนตรีที่น่าจะทอดยาวไปอีกไกล สำหรับเด็กหนุ่มที่อายุพ้นวัยทีนมาหมาดๆ เราคงทำได้เพียงให้กำลังใจเขาอยู่ห่างๆ ไม่ขอเชียร์อัพจนเขากลายเป็นนักร้องในกระแสที่น่าเบื่อเอือมระอา เต้นแร้งเต้นกาหาความรื่นรมย์ทางรูหูไม่เจอ (แน่นอนล่ะ ก็พวกนั้นเขาเน้นการดูมากกว่าฟัง)
และไม่ขอปล่อยเขา เด็กหนุ่มวัยเยาว์ให้เผชิญความเศร้าความเหงาเพียงลำพัง เราจะเฝ้าดูเขาเติบโตไปตามทางของเขา ให้เขาไปอย่างที่เขาจะเป็น และขอให้เราได้เห็นทุกสิ่งอย่างที่เขาอยากจะนำเสนอ ไม่ขอวิเคราะห์ตัดสินเขาง่ายๆ แค่เพียงอัลบัมแรกของชีวิต หากมันจะผิดหรือถูก ก็ยังต้องดูกันไกลๆ เหมือนที่เพลง THE A TEAM ของเขาว่าไว้นั่นแหละ !
เรื่องโดย : ปัญญ์
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : แนะนำเพลง
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84426