ชีวิตคือความรื่นรมย์
สืบสายธารวรรณศิลป์
คณะผู้ถ่ายทำวีดีทัศน์สารคดีชุดสยามศิลปินให้มูลนิธิศิลปินแห่งชาติ ถามว่า ข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแสดงสักวาอย่างไร จนได้เป็นแกนนำใน สโมสรสยามวรรณศิลป์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สืบทอดการแสดงสักวานี้ต่อมาข้าพเจ้ายอมรับว่าตอนเป็นนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีสุดท้าย (พศ. 2502) หลังจากได้ไปออกรายการ ลับแลกลอนสด ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการสื่อสารมวลชน (สถานีโทรทัศน์ขาวดำช่องแรกของประเทศ ที่ก่อตั้งและเปิดเป็นทางการเมื่อ 24 มิถุนายน 2498) พวกเราเป็นนิสิตนักศึกษากลุ่มแรกๆ ที่ได้มีโอกาสไปแสดงการว่ากลอนสด หลังจากที่ได้เห็นตัวอย่างจาก กวีอาวุโสผู้มีฝีปาก เช่น มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อาจารย์มนตรี ตราโมท หลวงอิศราภรณ์ประพันธ์ คุณหญิงสิน สุพรรณสมบัติ มจ. วิเศษศักดิ์ ชยางกูร อาจารย์ (ต่อมาเป็นคุณหญิงและท่านผู้หญิง) สมโรจน์ สวัสดิกุล ณอยุธยา อาจารย์ฉันทิชย์ กระแสร์สินธุ์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร อาจารย์เปลื้อง ณ นคร อาจารย์เจือ สตะเวทิน คุณไสว โชคมั่งมี อาจารย์สถิตย์ เสมานิล ฯลฯ และกวีรุ่นพี่เช่น สุภร (ศิวสริยานนท์) บุนนาค สุมน (สุดบรรทัด) อมรวิวัฒน์ (คุณหญิง) กุลทรัพย์ ชื่นรุงโรจน์ (เกษแม่นกิจ) ชยศรี (สุนทรพิพิธ) ชาลี ถาวร ชนะภัย สุนทร สุขีนัย ฯลฯ ได้แสดงนำร่องให้เราได้ซึมซับวัฒนธรรมอันทรงคุณค่ามาแต่สมัยโบราณ แต่มาห่างหายไปบ้างในสมัยรัชกาลที่ 6-7-8 แล้วก็ได้รับการฟื้นฟูใหม่ โดยกรมศิลปากร ในช่วงต้นทศวรรษ 2500หลังจากได้แสดงการว่ากลอนสด ทางสถานีโทรทัศน์แล้ว ผู้คนมีความนิยมการแสดงทางวัฒนธรรมนี้มากขึ้น พวกเรานักกลอนหนุ่มสาวร่วมสมัย จึงจับกลุ่มตั้ง ชมรมนักกลอน ขึ้น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2504 (ต่อมาปรับเป็นสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย มีอายุ 52 ปีแล้ววันนี้) ขณะเดียวกันก็เสมือนเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการตั้ง ชมรมวรรณศิลป์ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวลาใกล้เคียงกัน แล้วก็เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย วิทยาลัยและสถาบันการศึกษาอื่นๆ มากมาย รวมทั้งกลุ่มนักกลอนนอกสถาบันการศึกษาตามมาอีกเรื่อยๆ ชมรมนักกลอนได้รับเชิญจากกรมศิลปากร ให้ไปร่วมแสดงสักวา อย่างที่กรม ฯ เคยจัดให้กวีอาวุโสแสดงให้ประชาชนชมและฟัง ทั้งในหอประชุมของกรม ฯ และที่สำคัญคือ จัดให้มีการแสดงที่สังคีตศาลา ซึ่งเป็นเวทีแสดงละคร หรือการละเล่นของกรม ฯให้ประชาชนได้ชมในราคาที่ถูกมาก โดยประชาชนจะนั่งชมที่สนามหญ้า หรือมีเก้าอี้ให้ผู้อาวุโสไม่มากนัก ประชาชนนั่งรับลมว่าวตอนเย็นๆ ชมไป นั่งดื่มน้ำและรับประทานของว่างไปด้วยอย่างสบายอารมณ์และสนุกสนาน กาลเป็นเช่นนั้นมากทุกๆ หน้าแล้ง หลังฤดูฝนเดือนกันยายนจนกระทั่งย่างเข้าหน้าฝนเดือนพฤษภาคม จึงยุติจนกว่าหน้าแล้งปีต่อไป ในฐานะที่เป็น 1 ใน 15 คน ที่ร่วมก่อตั้งชมรมนักกลอนมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสร่วมในการจัดกิจกรรมของชมรมนักกลอนมาเรื่อยๆ แม้ว่าช่วง พศ. 2503-2512 จะต้องไปรับราชการครูอยู่ที่นครพนม แต่เมื่อมีโอกาสก็ได้ลงมาร่วมจัดกิจกรรม ทั้งการร่วมจัดสักวาและลอยลำไปกับเรือเพลงอยู่เสมอ จนกระทั่งเมื่อลาออกจากราชการ และมาทำงานอยู่ที่ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย ฯ ตั้งแต่ พศ. 2512 เป็นต้นมา เพื่อนฝูงคนสำคัญที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดกิจกรรมทางวรรณศิลป์ เช่น อนันต์ สวัสดิพละ สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ ประสพโชค เย็นแข มะเนาะ ยูเด็น อำพล สุวรรณธาดา มีหน้าที่ราชการและงานอาชีพต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง ที่ยังอยู่ก็เริ่มห่างเหินวงการ ไม่สะดวกในการเป็นแกนนำจัดกิจกรรม และบ้างก็เริ่มทยอยจากไปทีละคน เช่น สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์ ในปี 2525 วิจิตร ปิ่นจินดา ธรรณพ ธนะเรือง โกวิท สีตลายัน ก็ทยอยตามกันไปเรื่อยๆ อนันต์ สวัสดิพละ สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ ฯลฯ ข้าพเจ้าก็เลยกลายมารับหน้าที่เป็นแกนนำในการรวมเพื่อนเก่าอย่าง สมประสงค์ (สถาปิตานนท์) ปิ่นจินดา วินัย ภู่ระหงษ์ อำพลสุวรรณธาดา และรุ่นน้องใกล้ชิดที่ร่วมงานชมรมนักกลอนกันมาตลอด เช่น เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย สุรินทร์ ประสพพฤกษ์ ทวีสุข ทองถาวร เอนก แจ่มขำ อดุล จันทรศักดิ์ หรือผู้มีงานมาก แต่มีความสามารถทางกาพย์กลอน ยอมมาร่วมเป็นกำลังสำคัญบางงาน เช่น ศ. นพ. พูนพิศ อมาตยกุล เข้ามาขับเคลื่อนวงการสักวาต่อมา จนกระทั่ง ดวงใจ รวิปรีชา ทวีสุข ทองถาวร ภิญโญ ศรีจำลอง ศิริพงษ์ จันทน์หอม เอนก แจ่มขำ มาจากไปอีก ฯลฯ ที่สำคัญ ไม่เคยลืมเลยว่ามีนักกลอนหรือกวีหญิงอีกมาก ที่เป็นกำลังสำคัญแต่เมื่อหน้าที่ราชการและงานการตำแหน่งใหญ่ขึ้น หรือมีภาระทางครอบครัว ทำให้ไม่สะดวกในการไปโน่นมานี่กับพวกเรา เมื่อ สมประสงค์ ปิ่นจินดา ผ่องพรรณ สิงหเสนี มีปัญหาทางสุขภาพ จึงเหลือกำลังสำคัญยืนโรงคือ วันเนาว์ ยูเด็น นิภา ทองถาวร มรว. อรฉัตร ซองทอง นภาลัย สุวรรณธาดา สายพร แจ่มขำ ฯลฯ เราจึงต้องหากำลังมาเสริม โชคดีที่มีคนรักสักวาและมีมือมาช่วย คือ ดร. ญาดา อารัมภีร ดร. คุณหญิง วินิตา ดิถียนต์ (นักเขียนฝีมือเยี่ยมในนาม ว.วินิจฉัยกุล และแก้วเก้า คันไม้คันมือมาช่วยได้อย่างดี) เป็นกำลังสนับสนุนอย่างเข้มแข็งและแข็งขันตลอดมาต้องยอมรับว่า การมี ชมรมนักกลอน และ ชมรมวรรณศิลป์ ขึ้นในสถานศึกษา และชมรมหรือกลุ่มนักกลอนย่อยๆ ตามถิ่นต่างๆ มีคุณูปการไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อวงการกวีไทย ทำให้พบนักกลอนกวีที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นมากมาย ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเขียน ต่างคนต่างส่งไปหาสนามเกิดของตนเอาเองอย่างแต่ก่อน นอกจากที่กล่าวนามมาแล้ว ก็มีอีกมาก ทั้งสุจิตต์ วงษ์เทศ ขรรค์ชัย บุนปาน จินตนา ปิ่นเฉลียว เฉลิมศักดิ์ ศิลาพร สุรศักดิ์ ศรีประพันธ์ ปิยะพันธ์ จัมปาสุต วาณิช จรุงกิจอนันต์ จิระนันท์ พิตรปรีชา ฯลฯ กวีนักกลอนเหล่านั้น นอกจากรวมงานกันพิมพ์เป็นหนังสือทั้งรวมกลุ่มและฉายเดี่ยว มาเป็นสมบัติทางวรรณศิลป์แก่วงการมากมาย เป็นปรากฏการณ์ที่น่าชื่นชมยิ่งแล้ว บางคนฝีมือเด่นดังได้รับรางวัล ทั้งรางวัลซีไรท์ รางวัลจากองค์กรต่างๆ และได้รับยกย่องต่อๆ มา ว่าเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม และเป็นศิลปินแห่งชาติ เมื่อเพื่อนเก่าๆ ที่เป็นกำลังขับเคลื่อนวงการค่อยๆ อำลาไปทีละคน ใครๆ จะมีสักวาที่ไหน ก็ติดต่อพรรคพวกมา เขาก็พากันชี้มาที่ข้าพเจ้าเพราะดันมีอายุมากกว่าเพื่อน (ยกเว้นที่อายุมากกว่า คือ จำลอง สนธิรัตน์ ซึ่งวางมือไป และ ประสพโชค เย็นแข ซึ่งยอมร่วมทีมในบางครั้ง) และคลุกคลีวงการมายาวนาน รู้จักที่มาที่ไป รู้จักบุคคลและองค์กรต่างๆ ข้าพเจ้าก็เลยต้องรับหน้าที่เป็นโต้โผโดยจำเป็นจึงกลายมาเป็น สโมสรสยามวรรณศิลป์ ซึ่งมีงานหลักคือ อนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง สืบสานวงการกาพย์กลอนสืบสานวงการสักวา ยืนยงแสดงสักวามาจนวันนี้ ผลพวงอย่างหนึ่งที่เกิดจาการจัดกิจกรรมของชมรมนักกลอนคือ เมื่อปี 1 เราจัดประกวดกลอนหัวข้อเกี่ยวกับ ลำน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเราเคยได้กลอนดีๆ จากฝีมือ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นิภา บางยี่ขัน ทวีสุข ทองถาวร ดวงใจ รวิปรีชา วรา จันทกูล ฯลฯ แต่ในปีลอยลำไปกับเจ้าพระยาปีสุดท้าย (2512) เราจัดประกวดในหัวข้อ แด่...เจ้าพระยา ซึ่งมีนักกลอนฝีมือดีกินกันไม่ลงอยู่ 2 สำนวน เราก็ให้รางวัลเท่ากันไป แต่เมื่อเรานำไปให้ ครูเอื้อ สุนทรสนาน ดูแล้ว ท่านเลือกสำนวนของ ศิริพงษ์ จันทน์หอม และให้ชื่อว่า หยดน้ำเจ้าพระยา ครูเอื้อมอบให้ วรนุช อารีย์ ขับร้อง โด่งดังมาจนวันนี้ จากหยดน้ำหยดน้อยหลายร้อยหยด รวมกันหมดเป็นมหาชลาใส จากปิงวังยมน่านผ่านเลยไกล แล้วรวมไหลกันเข้าเป็นเจ้าพระยาเหมือนสายเลือดรวมไหลไทยทั้งชาติ รวมน้ำใจใสสะอาดศาสนา รวมภักดีสูงส่งองค์ราชา รวมศรัทธาในเสน่ห์ประเพณี เจ้าพระยาเรื่อยไหลไม่รู้สร่าง ไหลแผ่กว้างคว้างไปในทุกที่ โอบถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงชีวี รวมฤดีไทยผองเกี่ยวคล้องกัน จากหยดน้ำหยดน้อยหลาย ร้อยหยด รวมกันหมดเป็นมหาชลาขวัญ ขอความรักเรารวมร่วมผูกพัน นานเท่านานเจ้าพระยาไหลบ่านอง ศิริพงษ์ ที่รัก คุณจะรู้ไหมนะ ว่าวันนี้คนไทยแยกแม่น้ำเจ้าพระยา ออกเป็นแควต่างๆ ไปแล้ว....
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84391