ร่มไม้ชายศาล
"ไทย คือ รองแชมพ์โลก !"
ถ้าผมเป็นชาวต่างชาติ ตั้งท่าจะเที่ยวเมืองไทย ซึ่งมีจุดเด่นเรื่อง อาหารการกิน หาดทรายชายทะเลห้างสรรพสินค้าครบวงจร และอื่นๆ คงคิดหนัก เมื่อทราบว่า องค์กรด้านความปลอดภัย (MAKE ROAD SAFE & FIA FOUNDATION) ทำบันทึก การเดินทางอันเลวร้ายและความตายในประเทศที่กำลังพัฒนา ส่งไปถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก ระบุว่าไทยได้รับตำแหน่งที่ 2 รองจากประเทศฮอนดูรัส ทางด้านลบ เมื่อมีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนถึง 50 คน/นักท่องเที่ยว 1แสนคน ไม่น้อยเลย และน่าตกใจ
แม้ไม่ได้กรองข่าว แต่ผมเชื่อไว้ก่อนว่า เราน่าจะได้ตำแหน่งรองแชมพ์จริงๆ ไม่ใช่เรื่องโมเมใส่ร้ายป้ายสี เพราะมาตรการรักษาความปลอดภัยบนท้องถนนต่ำมาก สืบเนื่องมาจาก
ในแง่ของ "ประชาชน" คนไทยมีเสรีภาพในการขับรถสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งการได้ใบขับขี่ของเขาเป็นเรื่องหิน การถูกตัดสิทธิไม่ให้ขับรถเขาเอาจริง ขณะที่ไทยเราได้ใบขับขี่แบบหมูๆ ไม่มีใบขับขี่ก็ขับรถได้เสมอ การถูกตัดสิทธิ์แทบไม่เกิดขึ้นเลย การร่ำเรียนวิธีขับรถให้ถูกต้องไม่ใช่สิ่งจำเป็น
ในแง่ของ "เจ้าหน้าที่" หลักๆ ที่ปฏิบัติตลอดมา คือ กวดขันเรื่อง ขับรถมีใบขับขี่หรือเปล่า ต่อทะเบียนประจำปีหรือเปล่า คาดเข็มขัดนิรภัย สวมหมวกกันนอคไหม เมาไหม ขับรถเร็ว จอดรถ หยุดรถ หรือเลี้ยวรถในที่ต้องห้าม หรือไม่ หากมีปัญหา จ่ายสตางค์เดี๋ยวนั้น แบบศาลเตี้ย ถือว่าจบขับรถต่อได้เลย หรือรับใบสั่งไปจัดการทีหลัง
เราแทบไม่มีเจ้าหน้าที่ ควบคุม ดูแล แนะนำ ว่ากล่าว ตักเตือน ลงโทษตามกฎหมาย ในการใช้รถของประชาชนตามถนนหลวงทั่วประเทศให้ถูกหลัก ปลอดภัยอย่างแท้จริง สิ่งที่เจอ คือ ด่านตรวจ "ชนิดอยู่กับที่" ชั่วนาตาปี การตั้งจุดตรวจเฉพาะกิจของตำรวจทางหลวง การรวมพลของตำรวจจราจรในชุมชนเมือง (งานถนัดและขยันสุดๆ)เอาผิดข้อหาพื้นๆ เพื่อทำเป้า ไม่เกี่ยวกับการกวดขันให้ชาวบ้านขับรถให้ดี ให้ถูกต้อง
รัฐไม่มีมาตรการเชิงรุก หรือใส่ใจแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนแบบสากล เช่น มีรถเจ้าหน้าที่ตระเวนสอดส่องตามเส้นทางต่างๆ เห็นการขับรถโหลยโท่ย รีบเข้าไปประกบว่ากล่าวเอาผิด สิ่งที่ปฏิบัติเป็นประจำอีกอย่าง คือ นั่งนับตัวเลขคนตายคนเจ็บในเทศกาลต่างๆ แล้วป่าวประกาศให้ระวังนะจ๊ะๆๆ ตัวเอง แค่นี้เป็นเสร็จพิธี ถือว่าครบถ้วนแล้วในการรับมือกับอุบัติภัยจราจร ส่วนนักการเมืองที่ได้เสวยอำนาจ มีหน้าที่โดยตรงในการหามาตรการลดปัญหาที่เกิดขึ้น ก็มีรถมีคนคุ้มกันของเขาสบายอยู่แล้ว จนไม่ใส่ใจชาวบ้าน ไม่ว่านักการเมืองฝ่ายไหน จะซื้อหรือยื้อแย่งอำนาจมาได้
จึงไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จะเอาชีวิตมาทิ้งบนท้องถนนบ้านเราอย่างน่าอนาถ รายแล้วรายเล่า เพราะคนไทยเองก็ตายเป็นเบือ จนขี้เกียจติดตามข่าว ขี้เกียจนับศพ นี่คือ สภาพความจริง ไม่ช้าเราคงแย่งแชมพ์จากประเทศฮอนดูรัสได้ชัวร์ พนันไว้ก่อน 100 บาท เอาบาทเดียวก็ยังไหว
ไปว่ากันเรื่องคดีความเพื่อความมันของเราอย่างเคย
"นายวินาที" ฟังชื่อแล้วเร่งเร้าใจไม่น้อย แกมีงานทำอยู่พักหนึ่งที่ "บริษัท ขายรถแบบใจเย็น จำกัด" ยังไงไม่รู้ นายวินาที โดนโละออกแบบไม่ทันตั้งตัว นั่งไตร่ตรองอยู่หลายวินาที แล้วตัดสินใจค้าความ เพราะรู้มาว่าคดีแรงงานทำได้ง่ายๆ ไม่มีทนายก็ยังไหว ไปขอพึ่งศาลแรงงานได้ด้วยตนเอง เมื่อไปถึงศาล ลูกจ้างมักจะถือโอกาสจัดหนักกับนายจ้างไว้ก่อน โดยเรียกร้องนั่นนี่ บวกตัวเลข แล้วเถ้าแก่ลมใส่ เบ็ดเสร็จ นายวินาที เรียกร้องจากบริษัทขายรถแบบใจเย็น ฯ แตะหลักล้านบาท บริษัทอยู่เฉยไม่ได้ ตั้งป้อมสู้คดี บอกปัดทุกอย่าง ขอให้ยกฟ้อง
นัดแรกเจอกันที่ศาล มีการตกลงกันได้ระดับหนึ่ง เช่น นายวินาที ไม่เรียกร้องเงินบางอย่าง บริษัท ก็ไม่โต้เรื่องฟ้องเคลือบคลุม ไม่อ้างว่า นายวินาที ลาออกเอง แล้วให้ศาลพิจารณาข้อที่ยังตกลงกันไม่ได้
พิจารณาเสร็จศาลแรงงานกลางตัดสินให้จำเลย คือ บริษัทขายรถแบบใจเย็น ฯ จ่ายเฉพาะค่านายหน้ายึดรถจากลูกค้า 1 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี เงินค่าตกใจเพราะโดนไล่ออก เงินค่าชดเชย เงินค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ศาลยกเพราะไม่เข้าข่ายที่นายวินาที จะเรียกร้องได้ตามกฎหมาย
โจทก์ คือ นายวินาที ตกงานแล้วทำท่าจะบี้เงินจากนายจ้างเก่าได้แค่จิ๊บๆ ไม่สมกับที่ตั้งเป้าไว้เป็นเงินล้าน เจ้าตัวจึงยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาตามลักษณะของคดีแรงงาน ซึ่งกฎหมายยอมให้เล่นเกมสั้นลงมาหน่อย ไม่ต้องเชิดฉิ่งกันที่ศาลอุทธรณ์ แต่ท่านผู้อ่านจะได้เห็นว่าคดีเสร็จเร็วจริงไม่จริง
ศาลฎีการออยู่นานจนถึงคิวของคดีนี้ คว้าขึ้นมาส่องดู แล้วชี้ขาดออกมาว่า
สรุปแล้ว นายวินาที ได้แต่เฉพาะค่านายหน้า จากการยึดรถของลูกค้าให้แก่นายจ้าง ซึ่งคิดให้รวมแล้ว 1 แสนบาท สิ่งที่ต้องคิด คือ จำเลยต้องจ่ายดอกเบี้ยยังไง งานนี้ศาลฎีกาแทงว่า นายจ้าง ตกลงจ่ายค่านายหน้าในการยึดรถเป็นที่แน่นอนคันละ 1 หมื่นบาท นอกเหนือจากเงินเดือน หรือ ค่าจ้างเดือนละ 9,500 บาท เงินค่านายหน้าจากการยึดรถศาลถือว่าเป็นการจ่ายค่าตอบแทนในการทำงาน คำนวณตามผลงานที่ทำในเวลาปกติของวันทำงาน ถือเป็นค่าจ้างอีกส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติ ตามที่มาตรา 5 พรบ. คุ้มครองแรงงาน ฯ ว่าไว้ เมื่อเข้าอีหรอบนี้ นายวินาที ได้เปรียบ ตามมาตรา 9 ถ้านายจ้างค้างจ่ายต้องเสียดอกเบี้ยหนัก ถึงร้อยละ 15 ต่อปี
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้นายจ้างจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15 ต่อปี ของเงิน 1 แสนบาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะจ่ายเสร็จ ตามที่ นายวินาที เรียกร้องไว้อย่างนั้น ไม่ได้ขอตั้งแต่วันผิดนัด
สิ่งที่อยากให้แฟนๆ รับรู้ คือ การจ่ายค่านายหน้ายึดรถ มีผลอย่างไรต่อนายจ้างลูกจ้าง ที่แน่ๆ คือซื้อรถโดนบวกไว้ก่อน
และอยากให้รู้อีกนิดหนึ่งว่า คดีนี้ฟ้องเมื่อปี 2544 ตัดสินเสร็จปี 2553 นายวินาที รอรับเงินไหวหรือไม่ ไม่รู้ แต่ผลลัพธ์แกได้ดอกเบี้ยเกือบ 1.5 เท่าของเงินต้น ไม่ใช่น้อยเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากแบงค์ หมายความว่างอกจาก 1 แสนบาท กลายเป็น 2.5 แสนบาท คนที่ต้องควักเงินจ่ายซวย เพราะคดียืดเยื้อ โดยไม่มีทางบ่ายเบี่ยง นี่คือ สภาพความจริงในบ้านเรา ซึ่งขอเรียนให้ทราบ ถ้าจะค้าความ นึกถึงความมาราธอนไว้ด้วย ไม่ว่าฝ่ายไหนนะครับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7891/2553
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84169