รอบรู้เรื่องรถ
เลือกรถให้เหมาะสมกับการใช้งานดีกว่า
ในฐานะที่เป็นผู้มีโอกาสสัมผัสกับรถและผู้ใช้รถค่อนข้างมาก กับความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีปรากฏการณ์แปลกใหม่เกิดขึ้นบนท้องถนนมากขึ้นทุกที นั่นคือ คนไทยเราเลือกรถใช้งานผิดประเภทกันมากมาย ก่อนที่จะมาคุยกันในรายละเอียด ผมขอ "ฉาย"ภาพตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ให้ดูกันก่อนก็แล้วกันนะครับ
รายแรกเป็นผู้หญิง ที่มีฐานะดี ขับรถเองคนเดียวตลอด จะมีอะไรเหมาะไปกว่ารถที่คนคลั่งไคล้กันทั่วโลก เป็นรุ่นเล็กสุด ซึ่งดูแล้วก็เหมาะสมไปหมดทุกด้านนะครับ ไม่มีปัญหาทางเทคนิค ไม่มีปัญหากับอู่ซ่อม แต่อยู่มาวันหนึ่งก็ขายไปเสียเฉยๆ แล้วไปซื้อรถอเนกประสงค์ค่ายญี่ปุ่น เอามาขับคนเดียวเหมือนเดิม เรื่องความสบายขณะขับนั้น ไม่มีทางเทียบกับคันเดิมได้อยู่แล้ว (เพราะผมเคยลองขับมาทั้งสองรุ่นนี้) ยังมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพิ่มมาอีก คือ พื้นรถคันใหม่นี้สูงกว่าคันเก่ามาก ขึ้น/ลงแต่ละครั้งก็ลำบากกว่า น้ำมันเชื้อเพลิงก็เปลืองกว่า เวลาเลี้ยวก็โคลงกว่า เสียงเครื่องยนต์ เสียงรบกวนจากภายนอกก็ดังกว่า เจ้าตัวบอกว่าตอนนี้ผู้หญิงสมัยนี้เขากำลังนิยมรุ่นนี้กัน เศร้าใจครับ
รายที่สอง เป็นชายโสด ถ้าจะมีคนนั่งไปด้วย ก็เพียงอีกหนึ่งคนด้านหน้า ไปซื้อรถแวนขนาดเล็กรุ่นใหม่มาคันหนึ่ง ผมเคยลองใช้ดูเกินหนึ่งวันเหมือนกัน บอกได้เลยครับ ถ้าขับนานๆ เหนื่อยกว่ารถเก๋งระดับเดียวกันมาก จอดก็ยากกว่า เวลาเลี้ยวตามทางแยกที่แคบ ก็ไม่ให้ความรู้สึกดีเหมือนรถเก๋ง เพราะตัวคนขับนั่งอยู่ "บน" ล้อหน้า สอบถามเหตุผลที่ใช้ ได้ความว่า ใช้รถเก๋งมาหลายคันแล้วเท่านี้เองครับเหตุผล
รายที่สาม เป็นชาย ฐานะดีมาก ซื้อรถราคา 5-6 ล้านบาท ได้โดยไม่ต้องคิดมาก ชอบขับรถเร็ว ค่อนข้างสำอาง เรื่องบุกป่าฝ่าดง ไม่ต้องมาชวนให้เสียเวลา ใส่สูทไปทำงานทุกวัน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเหมาะเท่ารถเก๋งชั้นดีจากเยอรมนีสักคัน กลับไปซื้อรถขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นยักษ์ของญี่ปุ่นมาขับ ล้อไม่เคยสัมผัสดินหรือลูกรัง ถ้าทางโล่งก็ขับเกิน 160 กม./ชม. เสมอ ค่าน้ำมันไม่ต้องพูดถึงครับ เครื่องยนต์ 8 สูบ รถเปล่าหนัก 2 ตันครึ่งเข้าไปแล้ว พื้นที่หน้าตัดเกือบสองเท่าของรถเก๋ง ขนาดย่อม ถึงจะบอกว่ามีเงินเติมน้ำมันไม่อั้น ผมก็ว่าน่าเศร้าและสังเวชอย่างยิ่ง
รายที่สี่ เป็นชายโสด รายได้ดี ไม่ต้องซื้อของเข้าบ้านเอง ไม่มีอะไรให้ต้องใช้รถขนส่ง ชอบรถเก๋งอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พอเห็นรถที่เลือกแล้วก็งงครับ ไปซื้อรถสเตชันแวกอน หรือรถตรวจการณ์มาใหม่เอี่ยม สอบถามเหตุผลได้ความว่า ซื้อเพราะรุ่นนี้มีคนซื้อน้อยกว่ารุ่นเก๋ง จึงน่าจะขับแล้วเท่กว่า (แปลว่าอะไรผมก็ไม่ทราบ) รถสเตชันแวกอนมีข้อดีและข้อด้อยอย่างไร ค่อยมาคุยกันตอนท้ายครับ สรุปแล้วเศร้าครับ
ยังมีตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นกันได้อีกหลายรายครับ แต่ผมขอพักไว้เพียงเท่านี้ก่อน เพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ารถแบบไหนเหมาะกับการใช้งานแบบใด หรือกับใคร แบบแรก รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (ที่ไม่ใช่รถเก๋ง) เป็นรถอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้เกือบทุกที่ทุกโอกาส เช่น ใช้ในเมืองเดินทางไกล ลุยน้ำลุยโคลน หลุมบ่อ เข้าไร่ นา สวน แต่ถ้าจะซื้อมาใช้ ต้องถามตนเองก่อนครับ ว่าเรามีโอกาสหรือต้องการใช้งานมัน แบบที่ผมยกตัวอย่างมานี้หรือเปล่า เพราะถ้าเอามาใช้งานในเมืองอย่างเดียว เราก็จะไม่ได้ประโยชน์ด้านดีของมันเลย แต่กลับได้แต่ด้านลบ หรือด้านเลวของมันล้วนๆ คือสะเทือน (แม้ว่าบางรุ่นจะนุ่มระดับรถเก๋งชั้นดีก็ตาม) โคลง (เพราะตัวถังสูง และตัวเราก็นั่งในตำแหน่งสูงตาม) กินน้ำมันมหาศาล (ถึงจะเป็นเครื่องดีเซลก็ตาม) ขึ้น/ลงลำบาก เข้าซอยแคบลำบาก เข้าจอดลำบาก กลับรถยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะมุมเลี้ยวล้อหน้าน้อย แล้วยังคันยาวใหญ่อีกด้วย การทรงตัวก็ไม่ดีเท่าที่ควร บางคนอาจแย้งว่ารุ่นที่แพงมากๆ ก็ทรงตัวดีได้ ต้องเทียบกับรถเก๋งราคาเดียวกันครับถึงจะยุติธรรมและถูกต้อง
ผมว่าพวกเราจำนวนไม่น้อย ถูกล้างสมองให้เอาอย่าง ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยภาพยนตร์จากฮอลลีวูดของสหรัฐ ฯ แดนฟุ่มเฟือย เพราะเราจะเห็นพระเอก นางเอก ผู้ร้าย ใช้รถประเภทนี้กันบ่อยมากมันมีเหตุผลอยู่ในตัวของมันครับ ต้องดูรายได้ของพวกเขา แล้วดูค่าครองชีพ ดูราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสัดส่วนรายได้ต่อราคาน้ำมันจะเป็นตัวตัดสินครับว่าเขาใช้ได้ แต่พวกเรานั้นไม่เหมาะ ภูมิประเทศของเขาก็ต่างกับของเรา พวกเรามีไร่ (RANCH) มีบ้านชนบท ที่ทางเข้าไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ใช่ถนนเรียบ รถประเภทนี้จึงเหมาะ หรือจำเป็นสำหรับพวกเขา เมืองไทยต่างกันครับ ไปไหนก็มีถนนดีรออยู่ เพราะพวกเราชอบสบาย ใครมีที่ท่องเที่ยวที่ทางเข้าไม่ดีก็เตรียมตัว "เจ๊ง" ได้เลย
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องใหญ่ที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก ผมได้ยินอยู่เสมอว่าพวกเราอยากได้รถประเภทนี้ไว้เที่ยวทางไกล หรือเอาไว้เดินทางไกล รถประเภทนี้ไม่มีอะไรเหมาะสมกับการเดินทางไกลทั้งสิ้นครับ ก็ด้วยข้อเสียต่างๆ เหมือนกับที่เอามาใช้ในเมืองนั่นเอง เหมือนกันทุกข้อครับ บางคนบอกว่าเอาไว้พาสมาชิกครอบครัวหลายคนไปเที่ยวทางไกล ก็ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับครับ เพราะมันไม่ได้จุคนได้มากเป็นพิเศษ แม้จะมากเพราะเป็นรุ่นใหญ่ ก็ยังไม่เหมาะสมอยู่ดี กรณีแบบนี้ มีรถที่เหมาะสมจริงๆ คือรถตู้หรือรถแวน ซึ่งเราจะมาดูข้อดีและข้อเสียของมันกันเลย
รถแวน (VAN) หรือรถตู้นั้น เดิมทีในความหมายแท้ๆ ของมัน คือ รถตู้ทึบสำหรับขนของครับ แล้วก็มีคนดัดแปลงทำเป็นที่อยู่ภายในกันบ้าง ทำเป็นรถโดยสารบ้าง ตอนหลังโรงงานรถยนต์ก็เลยทำขายเสียเลย ส่วนใหญ่จะมีที่นั่งอย่างน้อย 3 แถว เรียกว่า 3 ตอนน่าจะถูกกว่านะครับ ตอนนี้คงเข้าใจกันแล้วนะครับ ว่าพวกเราเอาคำนี้ไปใช้เรียกรถตรวจการณ์หรือสเตชันแวกอนกันอย่างผิดๆ มาตลอด รถแวนต้นตำรับในสหรัฐอเมริกานั้น ขนาดใหญ่มาก คนชาตินี้เขาชอบของใหญ่ของสบายไว้ก่อน เรื่องสิ้นเปลืองไม่ค่อยถือว่าสำคัญ รถแวนรุ่นใหญ่สำหรับพวกเราหรือชาวยุโรป เช่น ไครสเลอร์ วอยาเจอร์/โฟล์คสวาเกน ชาราน/เรอโนลต์ แอสปาศ ชาวสหรัฐ ฯ จะเรียกว่า มีนีแวน ถ้าจะพูดแบบไม่เป็นทางการ ไม่เน้นความถูกต้อง ก็ต้องบอกว่ารถแวนหรือรถตู้ คือ รถเก๋งหรือรถตรวจการณ์ที่นั่งได้ 3 ตอน จุผู้โดยสารได้มากกว่ารถเก๋งปกติ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการขนคนไม่ว่าจะในเมืองหรือเดินทางไกล แล้วรถเก๋งคับแคบที่นั่งน้อยเกินไป ต้องหันมาหารถแวนครับ อย่าไปซื้อรถขับเคลื่อน 4 ล้ออเนกประสงค์ หรือ SUV (SPORT UTILITY VEHICLE) มาใช้
ข้อดีของรถแวน คือ การขนผู้โดยสารได้มากๆ หรือจะพับเก้าอี้ตอนหลัง แล้วเปลี่ยนเป็นผู้โดยสารค่อนข้างมาก บวกกับสัมภาระก็ได้ แต่อย่าเอามานั่งคนเดียวโด่เด่กับพนักงานขับรถเลยครับเพราะตัวรถมันหนักเอาการ พื้นที่หน้าตัดก็มาก เปลืองน้ำมันเปล่าๆ ถ้าจะใช้ให้ถูกต้อง ก็ควรเป็นผู้บริหารที่จำเป็นต้องรับแขกระดับสูง หรือมีการประชุมย่อยในรถกันค่อนข้างบ่อย อาจจำเป็นต้องหันหน้ามาชนกันถกปัญหากันแบบเห็นหน้าเห็นตา แบบนี้ถึงจะถือว่าใช้ถูกประเภทแล้วรถตรวจการณ์ล่ะ เป็นแบบไหน และใครควรใช้ อธิบายกันแบบไม่เป็นทางการก็คือ รถตรวจการณ์ก็คือรถเก๋งที่นั่ง 2 ตอนปกติ ซึ่งถูกดัดแปลงที่เก็บของท้ายรถ โดยตัวหลังคาเลยมาจนสุดด้านหลังมีกระจกด้านข้าง และมีประตูใหญ่ด้านท้ายอีก 1 บาน สมัยก่อนจะเป็น 2 ชิ้น ด้านล่างเป็นเหล็กของตัวถังเปิดลง ส่วนด้านบนเป็นกระจกเปิดขึ้น สมัยนี้เป็นประตูใหญ่บานเดียวเปิดขึ้นโดยไม่หนักแรง เพราะมีสปริงความดันแบบแกสช่วยรองรับ รถสเตชันแวกอนจึงต่างจากรถเก๋งตรงที่สะดวกกว่าในการขนสัมภาระขึ้นหรือลง ถ้าจำเป็นก็สามารถใส่สัมภาระได้จนยันหลังคาและถ้ายังไม่พอก็ยังพับพนักพิงของที่นั่งแถวหลังลง ได้เนื้อที่ขนของอย่างมหาศาลครับใครที่มีอาชีพที่ต้องขนสัมภาระขึ้น/ลงบ่อย หรือชอบจ่ายตลาดทีละมากๆ สมควรอย่างยิ่งครับที่จะใช้รถแบบนี้ เพราะสะดวกกว่ารถเก๋งมากมาย แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นก็อย่าไปใช้ เพราะไม่ได้อะไรขึ้นมา บางรุ่นช่วงล่างหลังจะสู้รถเก๋งไม่ได้ เพราะต้องดัดแปลงให้ที่เก็บของท้ายรถแบนเรียบเสมอกันตลอด เพื่อให้จุของได้มาก ปริมาตรอากาศในห้องโดยสารก็มากกว่ารถเก๋ง "แอร์" แล้วจะเย็นช้ากว่า และสิ้นเปลืองกว่าด้วย เพราะความร้อนเข้าสู่ห้องโดยสารได้มากกว่า กระจกบานหลังก็เลอะละอองน้ำโคลนได้ง่ายกว่ารถเก๋งหลายเท่า ถึงจะมีใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำ ก็ทำความสะอาดได้เพียงพื้นที่ส่วนหนึ่งที่เป็นรูปพัดเท่านั้น
เกือบลืมบอกไปครับ ผมเลือกคำว่าสเตชันแวกอนเพราะคิดว่าพวกเราคุ้นกันมากที่สุด คือเรียกตามชาวสหรัฐอเมริกา ส่วนชาวอังกฤษจะเรียกกว่า เอสเตท (ESTATE) เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส ก็เรียกในภาษาของเขา ขอไม่เอ่ยถึงให้ปวดหัวนะครับ ส่วนของไทยแปลกันไว้นานกว่า 50 ปีแล้วว่ารถตรวจการณ์ ซึ่งก็ให้ความหมายที่ดีพอ
ขอปิดท้ายด้วยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด ซึ่งก็คือรถกระบะขนาดเล็ก หรือขนาดน้ำหนักบรรทุก 1 ตัน(1,000 กก.) หรือรถพิคอัพนั่นเอง การที่เมืองไทยเป็นประเทศที่ผลิตรถพิคอัพ เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกานั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง แต่ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้รถผิดประเภท สำหรับผู้ที่มีอาชีพ หรืองานอดิเรกที่ต้องขนของที่ใช้รถเก๋ง หรือสเตชันแวกอนขนไม่ได้แน่นอนครับว่ารถพิคอัพ คือ ยานพาหนะประเสริฐ ที่หาอะไรมาแทนไม่ได้ อาจมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง คือแม้จะไม่ต้องบรรทุกของ แต่สิ่งแวดล้อมต่างๆ ของผู้ใช้ แย่เกินกว่าที่จะใช้รถเก๋ง ผิดจากนี้ไปแล้วใครที่ใช้รถพิคอัพ ก็จะได้แต่ด้านเสียของมันแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีอยู่หลายข้อด้วยกัน คือ ประตูน้อย ขึ้น/ลงลำบาก ห้องโดยสารคับแคบ การทรงตัวที่ความเร็วสูงไม่ดีพอ สะเทือน ระยะเบรคยาวกว่ารถเก๋งมาก
เรื่องนี้เรื่องใหญ่ครับ เพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยโดยตรง ระบบเบรคล้อหลังของรถพิคอัพเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ออกแบบผู้ผลิตมานานแล้ว เพราะเวลาบรรทุกเต็มพิกัด ต้องเบรคได้แรงพอ คราวนี้พอไม่บรรทุก แรงเบรคมักจะเกินจนล้อลอค ถึงจะมีระบบควมคุมแรงเบรคตามน้ำหนักบรรทุกอยู่ ก็เป็นแบบหยาบครับ บางทีก็ชำรุดอยู่นานแล้ว ถึงจะทำงานได้ดีเป็นปกติ ก็ยังมีระยะเบรคยาวเกินกว่ารถเก๋งมากอยู่ดี เป็นระยะทางหลายเมตรที่จะตัดสินว่าจะชนหรือไม่ จะเจ็บมากหรือเจ็บน้อย จะรอดหรือตายได้นะครับ และข้อสุดท้าย คือ เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งไม่มีอะไรได้เปรียบนอกจากค่าเชื้อเพลิง เพราะทั้งดัง ทั้งสั่น และไม่มีแรง ถ้าความจุของเครื่องยนต์เท่ากันเครื่องดีเซลจะแรงน้อยกว่าเครื่องเบนซินหลายสิบเปอร์เซนต์ การที่มีเทอร์โบชาร์เจอร์ ไม่ได้หมายความว่าเป็น "เครื่องแรง" นะครับ เพียงแค่ชดเชยให้มีกำลังพอๆ กับเครื่องเบนซินธรรมดาเท่านั้น ใครที่เคยใช้แต่รถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล ลองหาโอกาสขับรถเก๋งเครื่องยนต์เบนซินให้นานพอ ก็จะเห็นความแตกต่างอย่างมาก คนที่มีความละเอียดพอ จะไม่สามารถทนความหยาบ เสียงรบกวน "ความเหี่ยว" ไม่มีแรงของเครื่องดีเซลได้เลยครับ ถ้าคนไทยรู้ความแตกต่าง รู้คุณค่ากันมากกว่านี้ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาประเภท "มาดเข้ม" อะไรทำนองนี้ แล้วหันมาใช้รถเก๋งกันอย่างรู้คุณค่าอากาศที่พวกเราหายใจกันจะสะอาดกว่านี้มาก คนไทยกำลังจะป่วยกันเพราะเขม่าของเครื่องดีเซลจนถึงขั้นวิกฤติครับ เป็นมฤตยูใหม่ที่มาแทนควันขาวอันร้ายกาจของจักรยานยนต์ 2 จังหวะไม่ว่าผู้บริโภคจะซื้อรถอะไรมาใช้ เงินก็สะพัดเหมือนกันแหละครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ในการสนับสนุนให้คนไทยใช้รถกระบะเครื่องดีเซลกันจนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด สรุปแล้วก็คือถ้าสำรวจตัวเองแล้ว ไม่เข้าข่ายกลุ่มต่างๆ ที่ผมยกตัวอย่างมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่ารถนั้นจะราคาสูงหรือต่ำเพียงใด รถเก๋งเท่านั้นครับที่เหมาะที่สุดสำหรับพวกเขา
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการบทความและสารคดี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84168