โค้งอันตราย
สดชื่น
สุข สดชื่น สมหวังกันไปแล้ว สำหรับตัวเลขการขายครึ่งแรกของปีนี้ ขายกันได้ทุกยี่ห้อเพิ่มขึ้น 21.1% รวมกันทั้งตลาดได้ 432,012 คัน ถ้าคิดกันแบบบัญญัติไตรยางค์ง่ายๆ คูณ 2 เข้าไป ก็เท่ากับว่าปีนี้บ้านเรา จะมีรถใหม่ป้ายแดงออกมาวิ่งราว 864,024 คัน แต่นักการตลาดบอกว่า ไม่ได้ เพราะครึ่งปีหลังจะเป็นฤดูกาลขายอยู่แล้ว ต้องปัดเศษขึ้นเป็น 900,000 คัน หรือมากกว่า ถึงจะถูกต้อง
ก็เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับวงการ เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ กลับมาทำการผลิตได้อย่างเต็มอัตราหลังสะดุดไปเล็กน้อย ช่วงไตรมาส 2 แถมด้วยปลายปีนี้ มีอีโคคาร์ ออกมาโชว์ตัวอีก 2 ยี่ห้อ แน่นอน เพราะแถลงกันออกมาแล้ว พบกันได้ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28 ต้นเดือนธันวาคม นี้
แต่ปลายปีนี้ จะมีงานพิเศษเพิ่มขึ้นอีกงาน คือ บีโอไอแฟร์ ที่ริมทะเลสาบ เมืองทองธานี 10-25พฤศจิกายน ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มยอดการขายรถยนต์ให้มากขึ้นไปอีก อย่าลืมไปแวะชมกัน
ดูตัวเลขการขายครึ่งปีแล้ว ก็ต้องมาดูภาพรวมการใช้น้ำมันครึ่งปีแรก ที่ปีนี้ แกสธรรมชาติ ทั้ง ซีเอนจี และ แอลพีจี มียอดการใช้เพิ่มขึ้นทั้งคู่ ซีเอนจี เพิ่มถึง 35 % จากวันละ 4.7 ล้านกิโลกรัม เป็น6.3 ล้านกิโลกรัม และ แอลพีจี เพิ่ม 24 % จากวันละ 14,300 ตัน เป็น 17.800 ตัน สาเหตุเพราะราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนมาก จึงทำให้ผู้ใช้รถเบนซิน เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ เอนจีวี และ แอลพีจี แทน
รถที่ติดตั้ง แอลพีจี มีอยู่ราว 900,000 คัน ครึ่งปีแรกนี่เพิ่มขึ้นมาถึง 70,000 คัน ทำให้มีปั๊ม แอลพีจีเพิ่มขึ้นเป็น 1,030 แห่ง จากปี 2553 ที่มีเพียง 890 แห่ง ส่วนปั๊ม ซีเอนจี มีเพิ่มขึ้นเหมือนกัน
แต่ส่วนใหญ่จะแขวนป้ายหน้าปั๊มว่า แกสหมด หรือเปล่านะ
ส่วนสถานการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง มีการใช้น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2 % จากวันละ 20.1 ล้านลิตร เป็นวันละ 20.4 ล้านลิตร น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 4 % จากวันละ 52.2 ล้านลิตร เป็นวันละ 54.1 ล้านลิตร เพราะมีการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันที่ระดับ 29.99 บาท/ลิตร รวมทั้งราคา และผลผลิตพืชผลทางการเกษตรปีนี้ดี
กลับมาเรื่องของเรา เป็นข่าวจาก กรมการขนส่งทางบก ชี้แจงว่า จนถึงปัจจุบันมีสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ที่ได้รับอนุญาตจาก กรมการขนส่งทางบก ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,892 แห่งเป็นสถานตรวจสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จำนวน 1,262 แห่ง และสถานตรวจสภาพรถจักรยานยนต์ จำนวน 630 แห่งแต่ส่วนใหญ่ยังขาดการเอาใจใส่ดูแล กรมการขนส่งทางบกก็เลยทำโครงการพัฒนาศักยภาพสถานตรวจสภาพรถ เพื่อกระตุ้นการทำงาน โดยจะจัดกันทั่วประเทศจำนวน 9 ครั้ง
พร้อมทั้งเพิ่มการสนับสนุน ให้สถานตรวจสภาพรถเอกชน เป็นหน่วยบริการรับชำระภาษีรถประจำปี และสนับสนุนให้สถานตรวจสภาพรถเอกชน มีคุณภาพและมาตรฐานในการตรวจสภาพรถที่ดี เพื่อรับเครื่องหมายรับรองคุณภาพ"Q"จากกรมการขนส่งทางบก
อีกเรื่องมาจาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เตรียมงานสำหรับ โครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงาน หรือดำเนินงาน สรุปผลการประเมินข้อเสนอ ปรากฏว่า บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชนได้รับคะแนนสูงสุด
การดำเนินงานจะเป็นแบบ BUILD-TRANSFER-OPERATE (BTO) ซึ่ง กทพ. จะรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และให้เอกชนผู้สนใจรับผิดชอบการออกแบบก่อสร้างงานโยธา งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมถึงการบริหาร และบำรุงรักษาทางพิเศษ โดยเอกชนจะได้รับสิทธิ์จากรายได้ค่าผ่านทาง และรายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี ก็คาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาได้ภายในต้นปี 2555
โค้งอันตราย รอบนี้ ขอเลี้ยวเข้าไปหามอเตอร์ไซค์สักหน่อย เพราะยอดขายครึ่งปี สร้างสถิติสูงสุดอีกแล้ว ทำกันทั้งตลาด 1,080,624 คัน เติบโตถึง 116 % เฉพาะเดือนมิถุนายน เดือนเดียว ขายได้ทั้งสิ้น 221,818 คัน โตกว่าปีที่แล้ว 122 %
แต่อันนี้อานิสงส์จะมาจากการเลือกตั้งใหญ่หรือเปล่าไม่รู้นะครับ
ตัวเลขตลาดรวมรถจักรยานยนต์ เดือนมิถุนายน 2554 แบ่งเป็นรถแบบ เอที 114,993 คัน สัด ส่วนตลาด 52 % รถแบบครอบครัว 99,609 คัน สัดส่วนตลาด 45 % รถแบบออฟโรด 3,182 คัน สัดส่วนตลาด 1 % รถแบบสปอร์ท 2,459 คัน สัดส่วนตลาด 1 % รถแบบครอบครัวกึ่งสปอร์ท 1,080 คัน และรถประเภทอื่นๆ อีก 495 คัน รวมกันมีสัดส่วนตลาด 1 %
ส่วนการคาดการณ์เดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาสที่ 3 คาดกันว่ายอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์จะซบเซาลงเล็กน้อย เนื่องมาจากประเทศไทยเข้าสู่ฤดูมรสุม และเพาะปลูก อาจจะส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจในการจับจ่าย
ก็เลยลามปามไปถึงยอดการผลิต ทั้งรถยนต์ และจักรยานยนต์ เอาแค่รถยนต์ก่อน คาดกันว่าปี 2554 นี้ จะมีการผลิต 1.8 ล้านคัน และเพิ่มเป็น 2 ล้านคัน ในปี 2555 จากนั้นภายในปี 2558 ประเทศไทยจะผลิตรถยนต์ได้ 2.5 ล้านคัน ถ้าไม่มีอะไรมากระทบเสียก่อน
ปัจจัยหลักของการผลิต อยู่ที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ที่จะส่งผลกระทบให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ส่วนปัญหาทางด้านแรงงานและการเพิ่มค่าแรงนั้นไม่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์กลุ่มนี้ มีการจ่ายค่าแรงที่สูงกว่าขั้นต่ำอยู่แล้ว ดังนั้น ค่าแรงวันละ300 บาท ไม่ใช่เรื่องใหญ่
การเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ให้ถึง 2.5 ล้านคันนั้น จะทำให้การใช้แรงงานเพิ่มขึ้น 15-20 % จากปัจจุบันที่มีอยู่ 5.25 แสนคน ซึ่งถือว่าเพิ่มไม่สูงมากนัก เพราะแรงงานภาคอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นเป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว แต่ที่ยังเป็นปัญหาอยู่เวลานี้ ก็คือ แรงงานมันขาดแคลนต่างหาก
ก็ได้แค่คาดหวังว่า รัฐบาลชุดใหม่ที่ใกล้จะได้รับการแต่งตั้งแล้วนี้ จะสามารถนำพา รัฐนาวา ให้ดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงแรก ก็เชื่อกันว่า ยอดการขายรถยนต์ และจักรยานยนต์ก็คงต้องพุ่งสูงเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะการอัดฉีดมาจากภาครัฐ
ค่ายรถยนต์ และจักรยานยนต์ ก็ได้แค่หวังให้อัดฉีดมาเยอะๆ ก็แล้วกัน ไม่รังเกียจแต่ประการใด
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/84156