ชีวิตคือความรื่นรมย์
ร้อยปีคีตศิลปินสี่แผ่นดิน
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO: UNITED NATIONS EDUCATIONAL SCIENTIFIC AND CULTURAL ORGANIZATION) ได้ประกาศยกย่องคนไทยที่มีความสามารถต่างๆ เป็นบุคคลสำคัญของโลกบ่อยขึ้น เช่น จากนักเขียน, นักหนังสือพิมพ์คนสำคัญนาม กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) ก็มาพระธรรมโกศาจารย์(พุทธทาสภิกขุ) ครูเพลง-นักร้อง-นักดนตรี-นักแต่งเพลง-หัวหน้าวงดนตรีคนเด่นนาม เอื้อ สุนทรสนาน และ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นักหนังสือพิมพ์-นักเขียน-นักพูด-นักการเมือง-นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับยกย่องเชิดชูว่ามีความโดดเด่น 4 สาขา คือ ศึกษาศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน
สองท่านแรก ผู้เขียนได้กล่าวถึงไปแล้วในคอลัม์นี้ ตอนนี้ขอกล่าวถึงครูเพลงคนสำคัญที่สร้างสรรค์ผลงานด้านบันเทิงไว้อย่างโดดเด่นเป็นอมตะอย่างมากมาย และไม่มากเกินไปที่จะเรียกว่าคีตศิลปินสี่แผ่นดิน ที่ สุวัฒน์ วรดิลก นักเขียนคนสำคัญเคยให้ฉายาไว้ว่า "ขุนพลเพลงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์"
โดยคำนึงถึงคุณูปการที่ครูเพลงคนนี้ทิ้งมรดกการดนตรีและเพลงไทยสากลไว้อย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นหมุดหมายสำคัญในวงการเพลงไทยสากลอย่างที่ประวติศาสตร์การเพลงและดนตรีไทยไม่อาจละเว้นกล่าวถึงได้ ในหลากหลายมิติ แต่เสียดายที่ต้องกล่าวเพียงย่นย่อ เพราะท่านมีเรื่องที่น่ากล่าวถึงอีกมากมาย
ในปีที่ครบร้อยปีชาตกาลของท่านเมื่อ 21 มกราคม 2553 ที่ผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว "ชนใดที่มีดนตรี การในสันดาน" น้อยนักที่จะไม่รู้จักบุคคลสำคัญที่ใครๆ เรียกติดปากด้วยความยกย่องชื่นชมว่า "ครูเอื้อ สุนทรสนาน" หรือนักร้องในนาม "สุนทราภรณ์" ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับนามวงดนตรีที่ท่านก่อตั้งไว้รองรับการแสดงผลงานเพลง เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2484 (72 ปีมาแล้ว) โดยท่านนำส่วนหน้าของนามสกุล (สุนทร) ที่ได้รับพระราชทานมาสนธิกับนามคนที่ท่านรัก และกลายเป็นคู่ชีวิต (อาภรณ์)
ครูเป็นลูกคนที่ 3 เกิดในสกุลชาวสวน แต่บิดา (ชื่อดี) มีฝีมือทางแกะหนังใหญ่และเชิดหนังใหญ่เป็นเยี่ยมแห่ง...สมุทรสงคราม และพี่ชายคนโต (ชื่ออาบ) เป็นนักพากย์โขนชื่อดังของกรมมหรสพหลวง จนมีบรรดาศักดิ์เป็นจมื่นไพเราะพจมานและได้รับพระราชทานนามสกุล "สุนทรสนาน" จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ครูเอื้อ เป็นคนโชคดีที่ได้เข้าเรียนที่กรุงเทพ ฯ อยู่กับพี่ชาย ได้มีโอกาสเข้าโรงเรียนพรานหลวงที่ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ 6 ทรงตั้งขึ้นเพื่อให้บุตรหลานข้าราชบริพารได้เข้าเรียนมีวิชาความรู้ ซึ่ง ณ ที่นี่ครูได้มีโอกาสเรียนดนตรีกับพระเจนดุริยางค์ (ปีติ วาทยกร) ครูใหญ่เพลงแจซซ์ในวงการเพลงไทย ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนและอาจารย์ใหญ่ในวงการดนตรีไทย นอกจากนั้นยังได้เรียนกับอาจารย์ฝีมือเอก ทั้งดนตรีสากล เช่น ครูไวโอลินฝีมือดีอย่างครูฉะอ้อน (โฉลก) เนตรสูต ขุนสำเนียงชั้นเชิง (มล. โกมลรัตน์) และหลวงดนตรีบรรเลง (กุล เสนะวีณิน์) และครูดนตรีไทย (มนตรี ตราโมท) เป็นอาจารย์สอน รวมทั้งได้รู้จัก และสนิทสนมกับนักดนตรีรุ่นพี่ ล้วนมีฝีมือเยี่ยมในวงการต่อมา เช่น ครูนารถ ถาวรบุตร เมื่อได้ทำงานก็ได้พบกับครูเวส สุนทรจามร นักแต่งทำนองฝีมือเยี่ยมคนหนึ่ง รวมทั้งเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โปรดให้มีการจดโนทเพลงไทย (เดิม) ไว้ และครูเอื้อได้รับพระกรุณาให้เป็นผู้จดด้วยตนเอง ซึ่งเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อครูเอื้อ (และต่อวงการดนตรีของชาติไทยด้วย) เมื่อครูได้รับตำแหน่งที่กรมประชาสัมพันธ์ในกาลต่อมา เป็นหัวหน้าวงดนตรีกรม ฯ ซึ่งต่อมาได้ตั้งวงขึ้นเพื่อรับและขยายงานในฐานะเอกชนที่รักการดนตรีในนามวง "สุนทราภรณ์"
จึงไม่แปลกที่ครูเอื้อ และวงตนตรีทั้งในนามกรมโฆษณาการ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกรมประชาสัมพันธ์) และวงสุนทราภรณ์ มีบทเพลงที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง มีเสน่ห์เป็นพิเศษกว่าเพลงไทยสากลจากฝีมือของผู้แต่งเพลงคนอื่น และวงอื่น
เมื่อจบจากการเรียนครูเอื้อได้เข้ารับราชการที่กรมศิลปากร ซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้มีความสามารถทั้งดนตรีและนาฏศิลป์ ส่วนตัวก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับคณะละครร้อง และวงการภาพยนตร์ ทำให้ต้องแต่งเพลงและร้องเพลงประกอบ จนเป็นโอกาสแสดงฝีมือแต่งทำนองเพลงและร้องเพลงในกาลต่อๆ มาเป็นร้อยเป็นพันเพลง
ด้านการแต่งคำร้องนั้น ครูเอื้อมีผู้แต่งเนื้อร้องฝีมือดีชั้นครูช่วยป้อนงาน เช่น แก้ว อัจฉริยะกุล (ที่เหมือนเกิดมาเป็นคู่บุญกัน แต่งคู่กันมามากที่สุด ด้วยภาษาที่เรียกว่าเป็นคีตกวีได้อย่างไม่มีใครปฏิเสธ) เช่น มจ. จักรพันธุ์ เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ (ต่อมา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ) เอิบ ประไพเพลงผสม สุรัฐ พุกกะเวส ชอุ่ม ปัญจพรรค์ วิชัย โกกิลกนิษฐ์ (ธาตรี) พร พิรุณ ทวีปวร (ทวีป วรดิลก) ศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ อาจินต์ ปัญจพรรค์ สุรพล โทณะวนิก (ใช้นามแฝงว่า วังสันต์) หรือเป็นบทกลอนที่งดงามอยู่ก่อนแล้ว เช่น กลิ่นราตรี (บทกวีของ ทรง สาลิตุล)ต่อๆ มาก็มี อาจินต์ ปัญจพรรค์ สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ ฯลฯ
นอกจากนั้น นักร้องที่มีมาแต่ต้น หลายคนได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ เช่น มัณฑนา โมรากุล จุรี โอศิริ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี มรว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ รวงทอง ทองลั่นธม รวมทั้งนักร้องคุณภาพนับแต่ ล้วน ควันธรรม จันทนา โอบายวาท สุภาพ รัศมิทัต สุปาณี พุกสมบุญ ชวลี ช่วงวิทย์ วินัย จุลบุษปะ เลิศ ประสมทรัพย์ ศรีสุดา รัชตะวรรณ รวมทั้งดาวรุ่งสุนทราภรณ์ และนักร้องนักเรียนจากโรงเรียนสุนทราภรณ์การดนตรี ซึ่งครูเอื้อได้จัดตั้งขึ้นเพื่อให้การสอนการเรียน วิชาการดนตรี เช่น การอ่านโนท
การร้องเพลงที่ถูกวิธี การเล่นดนตรีที่มีประสิทธิภาพ โดยมีทายาทลูกสาวคนเดียว คือ อติพร สุนทรสนาน เสนะวงศ์ ดูแลสืบทอดอย่างเข้มแข็งผ่านมูลนิธิสุนทราภรณ์
คนที่ชอบเพลงสุนทราภรณ์ มีเพลงนับพันที่ตรึงอยู่ในใจผู้ฟังมานานนับสิบๆ ปี ไม่ว่าเพลงที่เป็นการเตือนใจให้รักชาติรักแผ่นดิน นับตั้งแต่สถาบันสูงสุด เช่น ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น บ้านเกิดเมืองนอน ไทยรวมกำลัง ฯลฯ เพลงรักซึ้งๆ เช่น ภูกะดึง เพลงนางฟ้าจำแลง กังหันต้องลม ฝากรัก กรุงเทพ ฯ ราตรี เพลงประจำเทศกาลต่างๆ ตลอดปี เช่น รื่นเริงเถลิงศก เพลินสงกรานต์ ลอยกระทง (ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์เพลงสนุกจากไทยที่ชาติต่างๆ เอาไปบรรจุเนื้อร้องชาติของตน)
รวมทั้งเพลงสนุกสนาน เช่น เพลงรำวง (ทั้งมาตรฐานตามแบบศิลปากรและในสังคมทั่วไป) โดยเฉพาะเมื่อบรรเลงสำหรับลีลาศ หรือเต้นรำ เช่น ฟลอร์เฟื่องฟ้า สุขกันเถอะเรา ฯลฯ เพลงประจำสถาบัน เช่น มหาจุฬาลงกรณ์ ขวัญใจจุฬา ฯ ลาแล้วจามจุรี โดมในดวงใจ ลาแล้วโดม ร่มนนทรี รั้วแดงกำแพงเหลือง สามพราน ฯลฯ
ความนิยมที่แพร่หลายไปในสังคมไทยมานาน จนกลายเป็นเพลงอมตะที่ผู้ฟังและนักร้องรุ่นแล้วรุ่นเล่าร้องสืบต่อๆ กันมา อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าจะเป็นอนุสติให้ชนรุ่นหลังได้สำนึกถึงวัฒนธรรม (โดยเฉพาะมรดกเพลงไทยเดิม) ที่ทรงคุณค่ายิ่งในความเป็นไทย คือ เพลงประเภทสังคีตประยุกต์ที่ครูเอื้อและครูเพลงหลายคนได้ช่วยกันปรับทำนองเพลงไทย (เดิม) มาประกอบเนื้อร้องเป็นเพลงไทยสากลได้อย่างไพเราะยอดเยี่ยม เช่น ดวงเดือน (จากลาวดวงเดือน) พรพรหม (จากแขก มอญบางขุนพรหม) ดำเนินทราย (จากลาวดำเนินทราย) คำหอม (จากลาวคำหอม) สุดสงวน ลออองค์ คลื่นกระทบฝั่ง บังใบ ท่าน้ำ ฯลฯ
ขอคารวะครูเอื้อ สุนทรสนาน "คีตศิลปินสี่แผ่นดิน" ครูเพลงคนสำคัญยิ่งที่ฝากมรดกทางดนตรีไว้ให้อยู่คู่กับชาติไทยไปอีกนานแสนนาน
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83913