รู้ทันเทคนิค
โพร์เช ดีเซล เจเนอเรชัน 2 แรง ประหยัด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
รถเอสยูวีระดับไฮเอนด์อย่าง โพร์เช กาเยนน์ คันนี้ แทบไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องของความประหยัด เพราะเจ้าของรถระดับนี้ไม่มีปัญหากับค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นแน่ แต่มันเป็นความท้าทายของทีมวิศวกร ในการสร้างเครื่องยนต์ให้มีทั้งสมรรถนะ และความประหยัดควบคู่กัน และแน่นอนว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเงื่อนไขสำคัญในการออกแบบและพัฒนาเครื่องยนต์ แม้ว่าจะพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะสูงได้อย่างใจต้องการ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเรื่องการปล่อยมลพิษตามเกณฑ์ที่กำหนด และจะเป็นชัยชนะที่สำคัญ ถ้าสามารถทำเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะสูง ประหยัด และมลพิษต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ ทำไมถึงต้องมากังวลเรื่องเหล่านี้ นั่นก็เพราะเรื่องมลพิษเป็นเรื่องใหญ่ที่ก่อปัญหาให้กับโลกของเรานั่นเอง
พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
เครื่องยนต์เจเนอเรชัน 2 ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดียิ่งขึ้น เครื่องยนต์ยังคงเป็นตัวเดิม คือ ขนาด 3.0 ลิตร แบบ วี 6 สูบ ขนาคความจุเท่าเดิมไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดในส่วนนี้ เพราะว่ามันถูกออกแบบมาได้ดีอยู่แล้วนั่นเอง ส่วนอื่นๆ ที่ถูกปรับปรุงเพิ่มขึ้นนั้น เป็นส่วนประกอบอื่นที่มีผลต่อการเพิ่มสมรรถนะและลดมลพิษ การปรับปรุงพัฒนาที่ดีขึ้นได้มาจากการพัฒนาในหลายๆ องค์ประกอบเข้าไว้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัสดุที่ประกอบในรถที่มีน้ำหนักที่เบาขึ้น การลดแรงเสียดทาน
เพื่อปรับปรุงระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง การเปลี่ยนเทอร์โบชาร์เจอร์ใหม่ และการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการความร้อน (THERMAL MANAGEMENT) ใหม่ เทอร์โบชาร์เจอร์แปรผันได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เพราะตัวรถมีน้ำหนักมากถึง 2 ตันเศษ ดังนั้นเทอร์โบจะต้องมีประสิทธิภาพการทำงานที่ครอบคลุม จังหวะออกตัวต้องสามารถเพิ่มแรงบิดให้กับเครื่องยนต์ได้อย่างฉับไว และจังหวะเร่งแซงก็ต้องให้พละกำลังที่เต็มเปี่ยม
การเผาไหม้สมบูรณ์ ทำให้ประหยัดน้ำมัน
ส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาควบคู่กันไป คือ เพลาข้อเหวี่ยงได้รับการออกแบบใหม่ ด้วยการลดน้ำหนักของเพลาให้น้อยลง เพื่อการหมุนที่คล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตัวรถต้องการความกระฉับกระเฉงเมื่อเพลาข้อเหวี่ยงน้ำหนักน้อยลง ก็จะส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานตอบสนองได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อมีการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพของระบบอัดอากาศแล้ว ระบบจ่ายน้ำมันก็ต้องปรับปรุงตามไปด้วย เพื่อให้สามารถจ่ายน้ำมันได้เพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์ อีกนัยหนึ่ง คือ การพัฒนาเพื่อให้การฉีดน้ำมันนั้น ถูกฉีดออกไปให้เป็นฝอยละอองละเอียดมากที่สุด โดยที่ใช้ปริมาณเท่าเดิม หรือน้อยลงกว่าเดิม จะทำให้ตัวเลขความประหยัด และมลพิษอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ระบบหัวฉีดถูกพัฒนาใหม่ เพิ่มความสามารถในการสร้างแรงดันได้มากขึ้น แรงดันของการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ เพิ่มขึ้นจากเดิม 200 บาร์ เป็น 2,000 บาร์ แรงดันที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลให้น้ำมันถูกฉีดออกไปเป็นฝอยละเอียดยิ่งขึ้น นั่นเท่ากับว่าการคลุกเคล้ากับอากาศจะทำได้ดีขึ้น การเผาไหม้ก็จะหมดจดสมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ปรับแต่งกล่องอีซียู ได้อัตราเร่ง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สุดท้าย คือ ระบบอีเลคทรอนิคส์ควบคุมเครื่องยนต์ ถูกปรับปรุงใหม่ให้มีการประมวลผลและทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะรอบเครื่องยนต์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากหลายปัจจัย ดังนั้นการประมวลผลที่รวดเร็วเท่าไร ก็ยิ่งจะทำให้การตอบสนองรวดเร็วขึ้นเท่านั้น และสามารถใช้เชื้อเพลิงได้น้อยลงด้วย แม้ว่ากำลังจะเพิ่มจากเดิมเพียงแค่ 5 แรงม้า (3.7 กิโลวัตต์) ทำให้กำลังรวมเป็น 245 แรงม้า (180 กิโลวัตต์) แม้ตัวเลขจะเล็กน้อยเมื่อแลกกับการพัฒนาที่มากมายอย่างที่กล่าวไป นั่นก็เพราะว่า เครื่องเดิมนั้นมีสมรรถนะเพียงพออยู่แล้ว เป้าหมายหลักที่การลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และลดมลพิษมากกว่า เครื่องยนต์ตัวนี้มีอัตราการบริโภคน้ำมันดีเซลเฉลี่ยที่ 13.88 กม./ลิตรเท่านั้น ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การลดมลพิษเครื่องยนต์ตัวนี้ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 6 ก. และมีอัตราโดยรวมที่ 189 ก./กม. เท่านั้น ด้วยอัตรานี้เองที่ทำให้ กาเยนน์ ดีเซล สามารถกลับไปครองตำแหน่งรุ่นที่มีความประหยัดมากที่สุด พร้อมด้วยการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอัตราที่ต่ำสุดในรุ่น กาเยนน์ ด้วยเช่นกัน ขุมพลังของเครื่องยนต์ที่มากขึ้นเช่นนี้ย่อมส่งผลต่อศักยภาพการทำงานของเครื่องยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน อาทิเช่น อัตราเร่งของเครื่องยนต์จาก 0-100 กม./ชม. ลดลงอยู่แค่เพียง 7.6 วินาที (ลดลง 0.2 วินาที) อีกทั้งความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 220 กม./ชม. (137 ไมล์ต่อชั่วโมง) เลยทีเดียว
เมื่อผู้ผลิตเค้าพยายามพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีความประหยัดเพิ่มขึ้น และมีมลพิษต่ำลงแล้ว เราเองในฐานะผู้ใช้รถก็ต้องรู้จักร่วมรับผิดชอบต่อส่วนรวมด้วย เริ่มจากการวางแผนการขับขี่ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงอย่างไม่จำเป็น รวมถึงปรับลักษณะนิสัยการขับขี่ใหม่ให้มีความนุ่มนวลมากขึ้น ในการกดคันเร่ง ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการออกตัว หรือเร่งแซง หาจังหวะที่เหมาะสมแล้วค่อยๆ เร่งแซง ให้ผลดีกว่าการตะบี้ตะบันกดคันเร่งเพื่อแซงเพียงอย่างเดียว เพราะนั่นจะเป็นการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง เครื่องยนต์ตัวนี้สมรรถนะดีอยู่แล้ว การเร่งแซงแบบค่อยๆ กดคันเร่ง แล้วอาศัยจังหวะดีๆ ปลอดภัยและประหยัดกว่าเป็นไหนๆ
เรื่องโดย : พหล ฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : รู้ทันเทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83672