สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
อเลกซานเดร์ เพาฟ์เลร์
เมร์เซเดส-เบนซ์ เป็นผู้นำตลาดรถระดับพรีเมียมในไทยมานานกว่า 10 ปี ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่รุนแรง ระหว่างผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ กับผู้นำเข้าอิสระ ฟอร์มูลา สัมภาษณ์พิเศษ อเลกซานเดร์ เพาฟ์เลร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ และความรู้ความสามารถด้านบริหารการเงินมากว่า 25 ปี โดยเริ่มทำงานกับ ไดม์เลร์-เบนซ์ อาเก ในปี 2524 ในฝ่ายจัดการด้านภาษี จากนั้นย้ายไปร่วมงานกับบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินชั้นนำ ทั้งในยุโรป และเอเชีย โดยมุ่งเน้นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในด้านยานยนต์ ก่อนย้ายกลับมาเป็นประธานบริหารฝ่ายการเงินและเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้กับ เมร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในปี 2543 รับตำแหน่งเป็นประธานอาวุโสด้านการเงินและภาษี ที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น แล้วกลับมาร่วมงานกับ เมร์เซเดส-เบนซ์ อีกครั้งในฐานะประธานบริหาร เมร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศกรีซ ในปี 2547
ผมเชื่อว่า เมร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า รวมถึงระดับความเชื่อมั่นของลูกค้า ที่มีต่อบแรนด์ ผลิตภัณฑ์ และการบริการของเราอยู่ในระดับสูง โดยส่วนตัวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้กลับมาประจำอยู่ในเอเชียอึกครั้ง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่
ฟอร์มูลา : คุณมองว่าสถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้ จะเป็นอย่างไร ?
เพาฟ์เลร์ : สถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในช่วงแรกของปีนี้ ถือว่าดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามต้องมีการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน หากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดผลกระทบแก่อุตสาหกรรมรถยนต์ ตัวอย่างจากปี 2552 ตลาดมีความผันผวนอย่างมาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศและของโลก ซึ่งในขณะนี้ ภาครัฐได้ใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากในพโรเจคท์ต่างๆ ทำให้สภาพคล่องบางอย่างหายไป สิ่งที่จะทำได้ คือ ภาษี แต่การใช้นโยบายภาษีทำให้กระทบกับความคล่องตัวในการใช้จ่าย
สำหรับเหตุการณ์ที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น สึนามิ แผ่นดินไหว และนิวเคลียร์ หรือแม้แต่ปัญหากับประเทศเขมร และการเลือกตั้งใหม่ ทำให้โครงสร้างมีผลกระทบบ้าง แต่ต้องดูว่าจะมีผลกระทบอย่างไร โดยโครงสร้างต่างๆ ที่เกิดรอบตัว หรือไกลตัวมีผลต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม เพราะทุกคนมองว่ากลับมารุ่งเรือง แต่ความจริงแล้วการเติบโตของตลาดขณะนี้ค่อนข้างอ่อนไหวมาก เพราะสามารถถูกกระทบได้โดยปัจจัยรอบตัว ซึ่งมีผลอย่างมาก ในฐานะที่เป็นผู้บริหารและรับผิดชอบธุรกิจ จึงต้องดูสถานการณ์ต่างๆ ในหลายด้าน
หลายฝ่ายอาจมองว่ามองโลกในแง่ร้าย แต่ไม่ใช่ เนื่องจากการติดตามในทุกสถานการณ์ ทุกเรื่องที่อยู่รอบๆ ตัว ล้วนเป็นสิ่งแวดล้อมในทางธุรกิจ ที่จะมีผลต่อธุรกิจ นั่นถือเป็นเรื่องสำคัญ และก็ไม่ได้ทำเพียงคนเดียว แต่จะต้องมีทีมงานเข้ามาช่วยด้วย
ตัวอย่าง คือ ไอโฟน ไอพอต และ ไอแพด ที่มีไอคอนอยู่ด้านล่าง หากต้องการใช้ตัวไหนก็คลิคขึ้นมา ไอคอนทุกตัวมีความสำคัญ
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าเหตุการณ์ต่างๆ ในประเทศไทย ส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด ?
เพาฟ์เลร์ : กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เรื่องเหล่านี้ต้องดูในทุกด้าน เพระถ้าเป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกทางธุรกิจ ต้องดูว่าเกิดขึ้นกับประเทศไทยหรือไม่ และถ้าเกิดขึ้น มีผลกับประเทศไทยอย่างไร ซึ่งแน่นอนต้องมีผลบ้าง แต่การดำเนินธุรกิจสำหรับประเทศไทย ก็เคยมีประสบการณ์มาหลายครั้งแล้ว หรือแม้กระทั่งเมื่อปีที่แล้ว เรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง ก็ไม่ได้เกิดผลกระทบแต่อย่างใดกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งมองแล้วเป็นเรื่องที่แปลก โดยต้องวิเคราะห์ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ฟอร์มูลา : ถ้าเช่นนั้นคุณเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่างไร ?
เพาฟ์เลร์ : ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับตัวแทนจำหน่าย ลูกค้า พนักงาน หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว และบุคคลทั่วไปที่มีความรู้เรื่องต่างๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้น มาวิเคราะห์และเตรียมความพร้อม ซึ่งทุกเรื่องมีความสำคัญ แต่จะนำมาใช้เมื่อไรเท่านั้นเอง อีกอย่างหนึ่งผมชอบอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือหลากหลาย ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ และผมได้เขียนเรื่อง "CREATIVITY GYM" เพื่อเป็นไอเดียการเตรียมความพร้อมสร้างสรรค์เรื่องต่างๆ ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ตัวผมได้เตรียมความพร้อมในเรื่อง CREATIVITY เพื่อออกจากปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม เพราะหากเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้น ต้องคิดว่าจะผ่านปัญหาต่างๆ ไปได้อย่างไร
ฟอร์มูลา : จากประสบการณ์ของคุณ จะต้องเตรียมอะไรบ้าง ?
เพาฟ์เลร์ : การบริหารงานที่ผ่านมา อันดับแรกต้องเตรียมทำความเข้าใจเรื่องของวัฒนธรรมในประเทศนั้น เพราะพื้นฐานของวัฒนธรรมมาจากศาสนา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เมื่อมาอยู่ประเทศไทย ศึกษาศาสนาพุทธ เพราะ 95 % ของคนไทยนับถือพุทธ จำเป็นต้องเข้าใจหากเกิดอะไรขึ้น จะทำให้สามารถเข้าใจความคิดของคนในขณะนั้น และปรับนโยบายในการทำงาน เพื่อให้องค์กรเดินหน้าต่อไป
ช่วงที่ทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ศึกษาศาสนาชินโต และเซน เพื่อจะได้เข้าใจความคิดของคนญี่ปุ่น ว่าคิดอย่างไร เหมือนกันต้องเข้าใจว่าคนไทยคิดอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไร แต่ถ้าเกิดความเข้าใจรากฐานความคิดของคนก็จะทำให้บริหารจัดการธุรกิจได้ดีขึ้น ซึ่งต้องเข้าใจและสามารถสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อไรที่เกิดปัญหา อย่างแรกที่เกิดขึ้น คือ คนไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีความกระตือรือร้น ความยาก ซึ่งถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่เริ่มต้น ส่วนต่อไปก็ไม่สามารถรู้ว่าคนคิดอย่างไร ก็จะทำให้บริหารจัดการไม่ได้ และที่สำคัญต้องเข้าใจตนเองด้วย
ดังนั้นสิ่งที่เป็นพื้นฐานทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่าย เป็นหน้าที่ของนักบัญชีที่ทุกแห่งต้องทำทั้งนั้น แต่ผมมองต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่ไม่ดี กับต้นทุนที่จำเป็นต้องใช้ ในมุมมองต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ตัดได้ก็ตัด เพราะบริษัทไม่ได้เกิดผลกระทบ แต่ต้นทุนที่จำเป็นต้องใช้ เช่น ต้นทุนเกี่ยวกับการบริการ ตัดไม่ได้ แต่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเพราะเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพราะหากพัฒนาไปได้ก็จะทำให้ดีขึ้น
ในกระบวนการเรียนรู้ ต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อมและมีความจำเป็นที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในทุกเรื่องที่อยู่รอบตัวเรา บางคนอาจมองว่าผมมีบุคลิกเป็นอาจารย์ แต่จริงๆ แล้วการที่ไปสอนหนังสือ เป็นเพราะอยากรู้เพิ่มขึ้นมากกว่า รวมถึงทำให้ได้สัมผัส เรียนรู้ ความคิดต่างๆ ของคน
ฟอร์มูลา : จนถึงปัจจุบันจากการที่ได้มาบริหาร เมร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย คุณได้แก้ไขในเรื่องใดบ้าง ?
เพาฟ์เลร์ : ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เมร์เซเดส-เบนซ์ มีอยู่ทั่วประเทศ และอยู่ในธุรกิจมานาน เข้าใจวัฒธรรมบแรนด์อย่างมาก เรื่องท้าทายสำหรับตัวแทนจำหน่าย คือการเป็นผู้นำในตลาดมากว่า 10 ปี เป็นเรื่องที่จะต้องทำอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จต่อไป ไม่สามารถเพาะปลูกความสำเร็จมาได้โดยอัตโนมัติ
ตอนที่อยู่ที่กรีซ ตลาดกลับมาบูมมาก แต่ผมมองว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงสร้างทฤษฎีศึกษาขึ้นมา ตัวแทนจำหน่ายไม่เข้าใจ มองว่าผมมองโลกในแง่ร้าย แต่หลังจากนั้นได้มีการพูดคุยกัน ทำความเข้าใจ สร้างความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทำให้เกิดความเข้าใจในการเตรียมความพร้อมต่างๆ ในปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
สำหรับประเทศไทย เมื่อเข้ามาบริหาร ได้มีการพูดคุยกับตัวแทนจำหน่าย สร้างความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน เพราะการเป็นที่ 1 เป็นเวลา 10 ปี จะต้องทำอย่างไรให้สำเร็จลุล่วงต่อไป ดังจะเห็นได้จากปัญหาทิ่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกี่ยวกับผู้นำเข้าอิสระ ทำให้ต้องมีการสื่อสาร ประสานงาน สร้างความเชื่อมั่น ทำให้ผู้แทนจำหน่ายตื่นตัว กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับการบริการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญมาตลอด เพราะเมื่อมีรถที่ดี ต้องมีการบริการที่ดีควบคู่ไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ผู้นำเข้าอิสระส่วนใหญ่ทำไม่ได้ การทำงานทุกวัน ใส่ใจในทุกเรื่อง ทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นองค์ประกอบใหญ่ และนำมาใช้เป็นองค์ประกอบสนับสนุนองค์กร
ฟอร์มูลา : คุณวางทิศทางและนโยบายไว้อย่างไร เพื่อรักษาความเป็นที่ 1 ต่อไป ?
เพาฟ์เลร์ : เราต้องสร้างสมดุลจากกฎระเบียบต่างๆ ที่ออกมาจากสำนักงานใหญ่ ถึงความต้องการของตลาดในประเทศไทย แต่แน่นอนจะต้องมีข้อกำหนดอย่างเข้มงวดในการดูแลรถกลุ่มนี้ เพราะผู้นำเข้าอิสระหลังจากที่ขายแล้วต้องการที่จะเข้ามาใช้บริการของเรา แต่ในความเป็นจริงคงไม่สามารถใช้บริการได้ทั้งหมด เพราะข้อกำหนดเงื่อนไขต่างๆ สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อรถจากตัวแทนจำหน่ายมีสูงมาก บางครั้งอาจเกิดความไม่สะดวกสบายกับลูกค้าเหล่านี้ และด้วยเงื่อนไขต่างๆ จะต้องทำความเข้าใจกัน หากตรวจสอบเอกสาร หรือเรื่องร้องขอต่างๆ บางครั้ง บริษัท ฯ ไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ ก็คงจะทำไม่ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเมร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งตอนที่ผมทำงานอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ยอดใผลิต เอส-คลาสส์ ทั่วโลกมีอยู่ 80,000 คัน และ 8,000 คัน ส่งไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น แต่ 30 % เป็นการนำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งตลาดก็มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เมื่อค่าเงินเปลี่ยน หลายอย่างเปลี่ยน ตลาดนี้ก็หายไป ซึ่งผู้นำเข้าอิสระมีหลายสิ่งเป็นองค์ประกอบ บริษัท ฯ จึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อบริหารจัดการเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก แต่บริษัท ฯ ไม่อยู่นิ่งที่จะบริหารจัดการเรื่องนี้ และเมื่อวันหนึ่งมาถึง เช่น อาจมีเรื่องค่าเงิน ก็จะทำให้หมดไป แต่คงจะรอไม่ได้ จึงต้องบริหารจัดการต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับบแรนด์
ฟอร์มูลา : คุณรู้สึกอย่างไร กับการบริหารงานในประเทศไทย ?
เพาฟ์เลร์ : สิ่งที่ประสบความสำเร็จ การทำงานเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวเอง หรือบริษัท กับตัวแทนจำหน่าย พนักงาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก มันเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2552 การทำความเข้าใจ การดำเนินงาน และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้จำหน่ายสำเร็จ ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือคู่ค้า แสดงความชื่นชมการทำงานร่วมกัน ทำความกระจ่างให้เกิดขึ้น เพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน และได้รับการยอมรับ เมื่อเกิดปัญหาสามารถคุยกันได้โดยตรง
ฟอร์มูลา : คุณวางเป้าหมายสำหรับการทำงานในประเทศไทยไว้อย่างไร ?
เพาฟ์เลร์ : รักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียมต่อไป
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83508