โลกติดล้อ
ขับรถในอินเดีย
ผู้เขียนกำลังนั่งหัวสั่นหัวคลอนอยู่ในรถโดยสารขนาดกลาง ที่สามารถจุคนได้ประมาณ 20 คน จากเมืองสาวัตถี ประเทศอินเดียสู่เมืองกบิลพัสดุ์ในประเทศเนปาล รถโดยสารที่ว่านี้ มีตัวอักษรคำว่า TOURIST อยู่หน้ารถ พาหนะนำนักท่องเที่ยวแสวงบุญชาวไทยไปยังจุดหมายที่เป็นสังเวชนียสถาน 4 แห่ง ในอินเดีย และเนปาล
ที่ว่าหัวสั่นหัวคลอนก็เป็นเพราะสภาพถนนอันแสนขรุขระทุกๆ 1 เมตร เป็นต้องมีหลุมบ่อโบ๋ลงไปแบบเดียวกับถนนที่เรามักบอกกับตัวเองว่า "ผู้รับเหมากินกัน" และที่เราได้พบเห็นในชนบทเมืองไทยสมัยก่อน ถนนแบบนี้ทำให้คนขับต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง สำหรับระยะทาง 190 กิโลเมตร ผู้เขียนใช้ความพยายามที่จะรับประทานอาหารกล่องที่ทางโรงแรมจัดให้ แต่ช้อนกับปากก็ยากที่จะเจอกัน เนื่องจากต้องคอยยกก้นขึ้นเมื่อรถกระดอน
แต่แล้วจู่ๆ รถก็หยุดนิ่ง จากการจราจรที่ติดขัดสับสน ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้รถชนกัน หรือใครขวางทางใคร ไม่มีตำรวจมาจัดการ คนขับได้แต่นั่งเฉยๆ ผู้โดยสารมองตากันแล้วถอนหายใจ เด็กรถวิ่งลงไปดู ส่งภาษาคุยกับคนขับรถ ส่วนนักท่องเที่ยวอย่างเราที่ไม่มีภาระรีบไปทำงาน ก็ได้โอกาสตักอาหารส่งเข้าถึงปากเสียที
ใช้รถใช้ถนนในอินเดีย ก็ต้องพบกับประสบการณ์แบบนี้กันละคุณ เรื่องมีอยู่ว่า คนอินเดียพอเริ่มมีเงิน ก็พากันวิ่งไปซื้อหารถมาใช้ ตอนที่รถติดระหว่างที่ยังไม่ได้คิดจะกินอาหาร ผู้เขียนมองออกไปนอกรถ ก็จะเห็นรถนานาชนิด ทั้งรถโดยสารที่มีคนนั่งกินลมและกินฝุ่นบนหลังคา รถสองแถว รถตุ๊กๆ ที่มีหัวดำๆ นั่งเบียดกันอยู่นับไม่ถ้วน รวมทั้งรถเก๋งขนาดเล็ก ซึ่งเห็นมีแต่ยี่ห้อทาทา หนาตา รวมทั้งรถจากค่ายตะวันตกบ้างประปราย
สำหรับคนอินเดียที่มีรถคันแรก ก็ต้องเป็นรถเล็ก ราคาถูก ด้วยเหตุนี้ก็อย่าแปลกใจที่ยี่ห้อรถอย่าง ซูซูกิ ซึ่งถนัดเรื่องรถเล็ก ราคาย่อมเยา จึงเป็นค่ายแรกๆ ที่เข้าไปฉกฉวยโอกาสนี้ในอินเดีย ส่วนค่ายรถอินเดียเอง ก็ออกแบบรถ นาโน ที่อวดว่าเป็นรถราคาถูกที่สุดของโลกออกมา แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้มีเฉพาะ ซูซูกิ แล้ว ไม่ว่ารถยนต์ค่ายไหน ก็เร่งผลิตเพื่อสนองตลาดอินเดียกันเป็นระวิง อย่างเมื่อปลายปีที่แล้วค่าย โตโยตา ก็ผลิตรถเก๋งคอมแพคท์ชื่อ เอติออส (ETIOS) ออกมาให้คนอินเดีย ที่มีงบจำกัดจำเขี่ยได้ใช้ ใครจะปล่อยให้ ซูซูกิ รับทรัพย์อยู่คนเดียวกันล่ะพอได้รถแล้ว ก็ต้องมีใบขับขี่
ที่สำนักงานขนส่งเมืองมุมไบ ผู้ชายกว่าสองโหลยืนอยู่ที่ประตูด้านหน้า ทันใดนั้นก็มีนายหน้าหนุ่มเสนอตัวเข้ามาโดยให้จ่ายค่าป่วยการในราคา 3,000 รูปี แล้วอยากได้อะไรล่ะ เอาใบขับขี่เลย หรือเอาใบอนุญาตชั่วคราวที่ได้ไปโดยไม่ต้องสอบ นายหน้าหนุ่มคนนี้จะจ่ายเงินสินบนแค่ 1 เหรียญ ฯ ให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้ช่วยเร่งออกใบอนุญาตเร็วเป็นพิเศษจาก 1 วันเต็ม ลดเหลือไม่กี่ชั่วโมง เจ้าของรถคันใหม่ ก็จะได้ใบขับขี่ไปโดยไม่ต้องสอบ หรือนั่งกรอกแบบฟอร์มต่างๆ ให้เหนื่อยยาก เป็นอันว่าอาชีพนายหน้าแบบที่ว่านี้ก็เฟื่องฟูทำรายได้ดี บางคนเปิดสำนักงานมีลูกน้องถึง 30 คน แต่ละวันมีรายได้รวมกันจาก 500-1,000 รูปี
ว่ากันว่านายหน้าใบขับขี่มีเกลื่อนกลาด หาง่ายพอๆ กับร้านขายชาอินเดีย (ชาที่ใส่เครื่องเทศ) เพราะเหตุนี้ท่านผู้อ่านก็คิดดูแล้วกันว่า คุณภาพคนขับรถในอินเดียจะเป็นประมาณไหน ไม่รู้ว่าใบขับขี่ที่ได้จะกลายเป็นใบสั่งฆ่าคนหรือเปล่า
เมื่อได้ใบขับขี่มาโดยไม่ได้ศึกษากฎจราจร สภาพถนนในอินเดีย ก็เลยเป็นจลาจลย่อยๆ เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป อย่างที่ผู้เขียนได้เห็นนั่นเอง
หน่วยงานจราจรในอินเดียบอกว่าปวดหัวกับคนขับรถที่ไม่เคารพกฎจราจร และว่า คงจะต้องมีตำรวจจราจรกำกับอยู่ทุกสี่แยกละกระมัง ถึงจะทำให้วิกฤตบนท้องถนนผ่อนคลายลง เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถนนในอินเดียนั้นได้ชื่อว่าย่ำแย่ที่สุดในโลก นี่ยังไม่นับว่า เกวียนเอย วัวเอย ก็ขึ้นมาสัญจรอยู่บนถนนด้วย
รัฐบาลอินเดียรายงานว่าในปี 2008 อุบัติเหตุในอินเดีย ได้คร่าชีวิตคนอินเดียไปแล้ว 119,860 คน หรือ 327 ต่อวัน นี่เรียกว่าทำลายสถิติสงกรานต์ไทยแบบไม่ทิ้งฝุ่นกันเลย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขามีประชากรมากกว่าไทยด้วย รัฐบาลอินเดียประกาศว่านี่เป็นการสูญเสียร้อยละ 3 ของ จีดีพี (GDP) เลยทีเดียว ที่ตายก็ตายไป ยอดขายรถยนต์ในอินเดียยังพุ่งทะยานไม่หยุด เช่น ยอดขายรถเก๋งเดือนตุลาคม 2010 เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากเดือนตุลาคมในปี 2009 ทำให้ผู้ผลิตประกาศว่าตัวเลขที่เคยประเมินไว้ที่ 2.4 ล้านคัน เอาเข้าจริงอาจสูงกว่านั้น
อินเดียมี จีดีพี พุ่งสูงเป็นรองแค่จีน เงินเดือนก็สูงขึ้นร้อยละ 11 สูงสุดในเอเชียแปซิฟิค ทำให้คนอินเดียมีรายได้เพียงพอที่จะมีรถยนต์ ราคาพอหาซื้อได้สักคัน อย่างรถ เอติออส ของค่าย โตโยตา นั้นราคา 496,000 รูปี (ใช้ .75 คูณเข้าไปจะได้ราคาเงินบาท) นับว่าเป็นรถยนต์ราคาถูกที่สุดเท่าที่ โตโยตา เคยผลิต แข่งกันกับรถราคาย่อมเยาจากค่าย ฮอนดา ฟอร์ด และ ซูซูกิ
รู้ๆ กันอยู่ว่า คนอินเดียนั้นขี้เหนียวแค่ไหน รถที่ผลิตในอินเดียจำนวนมาก จึงไม่มีอุปกรณ์ความปลอดภัย บางคัน เช่น รถ นาโน มีแค่เข็มขัดนิรภัย เพราะนั่นเป็นข้อบังคับเดียวของรัฐบาลในเรื่องความปลอดภัย ถึงแม้รถจะขายดี แต่รถอินเดียก็ยังไม่มีถุงลมนิรภัย หรือระบบเบรคแอนทิลอคอยู่ดี สำหรับผู้ผลิตรถรายใหญ่ที่สุดในอินเดีย คือ มารูติ ซูซูกิ อินเดีย ซึ่งกินส่วนแบ่งตลาดถึงครึ่งหนึ่งก็บอกว่า "เราให้ลูกค้าเลือกว่าจะใส่อุปกรณ์นิรภัยเต็มที่ หรือเลือกราคาย่อมเยา ที่ไม่มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย"
เอนจีโอ (NGO) ที่รณรงค์เรื่องความปลอดภัยในอินเดีย บอกให้ดูจีนเป็นตัวอย่าง จีนมีคนขับขี่รถเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน แต่อัตราอุบัติเหตุน้อยกว่าครึ่ง จีนทำแคมเปญ เมาไม่ขับ และใช้กล้องวงจรปิดจับคนขับรถเร็ว และปรับหนัก จีนเอาจริงกับกฎระเบียบมากกว่าอินเดีย
เรื่องโดย : เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : โลกติดล้อ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83349