โค้งอันตราย
พายุลูกใหม่
ผ่านพ้นไตรมาสแรกกันไปแล้ว ด้วยความรู้สึกชื่นมื่นกันไปทั้งตลาด ทุกยี่ห้อ ที่ยอดรวมการเจริญเติบโตช่วง 3 เดือนแรก โตเพิ่มขึ้นถึง 43.1 % ขายกันเป็นสถิติตัวเลขใหม่ 238,619 คัน โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 60.3 % สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ดี รวมทั้งการขยายตัวภาคเศรษฐกิจ ก็อยู่ในแนวโน้มที่ดีขึ้น
แต่พอถึงเดือนมีนาคมเท่านั้นเอง ข่าวร้ายก็เข้ามาเยือนเมื่อวันที่ 11 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว พร้อมคลื่นสึนามิ ถาโถมเข้าถล่มในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งข่าวคราวความเสียหายของผู้ผลิตชิ้นส่วนในแถบนั้น มาโดยตลอด
ประกอบกับภัยภิบัติที่เกิดกับโรงผลิตไฟฟ้าพลังงานปรมาณู ทำให้ต้องจำกัดการใช้พลังงานไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น กระทบกระเทือนต่อการผลิตเป็นอย่างมาก รวมทั้งกระทบกระเทือนไปยังผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลก ที่จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
ต้องอย่าลืมว่า รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันนี้ การทำงานของเครื่องยนต์และส่วนประกอบที่สำคัญ ถูกควบคุมโดยกล่องควบคุมการทำงาน เหมือนที่เราเคยได้ยินกันว่า มีการรับจูนกล่อง ด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มความแรงของเครื่องยนต์ ที่บรรดานักแข่งรถยนต์ ทั้งทางเรียบ และแรลลี รู้จักกันดี
เจ้าปัญหาใหญ่พายุลูกใหม่นี่ มันอยู่ที่ ไมโครชิพท์ ที่ควบคุมการทำงานภายในกล่องควบคุม ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ ที่มีติดตั้งอยู่ในรถยนต์ที่วิ่งบนถนนอยู่แล้วในโลกนี้ นับล้านคัน ในหลายๆ ยี่ห้อ ที่บังเอิญว่า ผู้ผลิตชิ้นส่วน ไมโครชิพท์ ที่ว่านี่ ผลิตป้อนค่ายรถยนต์ในตลาดนี้สูงถึง 41 % บังเอิญตั้งโรงงานอยู่ในเขตที่ประสบภัยภิบัติที่ว่า
เจ้าชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้ ไม่เหมือนกับชิ้นส่วนใหญ่ ที่เรามองเห็นกันจากภายนอก อย่างเช่น ชิ้นส่วนตัวถัง ซึ่งสามารถเลือกใช้ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยได้โดยง่าย และสามารถปรับเปลี่ยนบริษัทชิ้นส่วนได้ทันที แต่เจ้า ไมโครชิพท์ ตัวเล็กเหล่านี้ ทำการทดสอบการทำงานมาเป็นเวลานาน ก่อนหน้าโรงงานประกอบรถยนต์จะยอมรับการทำงาน และติดตั้งในรถยนต์ ทำให้ยากต่อการปรับเปลี่ยนผู้ผลิตไปเป็นรายอื่น ซึ่งไม่มีการเตรียมความพร้อมในการผลิตมาก่อน
โรงงานที่ว่าประกาศออกมาแล้ว ว่า ไมโครชิพท์ นี้ จะขาดแคลนในช่วงนี้ระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าก่อนเกิดภัยภิบัติ ก็ทำส่งกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว ผู้ผลิตเอง ก็บอกว่า อีกอย่างน้อย 1 เดือน จึงจะสามารถเริ่มการผลิตในโรงงานใหม่อีก 2 แห่งได้ และต้องการเวลาอีกนับเดือน ที่จะสามารถเริ่มการส่งออกได้
โรงงาน RENESAS ELECTRONICS CORP. ประกาศว่า จะย้ายฐานการผลิตจากเมือง นากะ ซึ่งผลิตไมโครชิพท์ปริมาณ 25 % ของปริมาณทั้งหมด ไปตั้งโรงงานหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ และอีกโรงงานหนึ่ง ทางทิศตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น โดยจะใช้เวลา 2 เดือน ขณะที่โรงงานในเมือง นากะ จะสามารถเริ่มทำการผลิตได้เต็มกำลัง ในเดือนกรกฎาคม
โรงงานที่รับการผลิตไมโครชิพท์ต่อมา เพื่อประกอบเป็นกล่องควบคุม ก็ต้องการเวลาอีก 2 เดือน เพื่อเริ่มงานในโรงงานใหม่ จากนั้น จึงจะสามารถเริ่มทำการส่งออกได้
นั่นหมายความว่า ผู้ผลิตรถยนต์ยังต้องคอยเวลาอีกอย่างน้อย 4 เดือน จึงจะสามารถประกอบรถยนต์ได้เต็มกำลังการผลิตตามเดิม
รถยนต์สมัยใหม่เดี๋ยวนี้ ใช้ ไมโครชิพท์ อย่างน้อย 30-100 ตัว ในการควบคุมการทำงานของเบรคเพื่อการจอดรถ กล่องควบคุม ระบบความบันเทิงภายในรถ การควบคุมการทรงตัว และการควบคุมพวงมาลัย ซึ่งต้องระบุหน้าที่เฉพาะตัว ทำให้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนซัพพลายเออร์ได้โดยง่าย
รถยนต์สมัยใหม่ ที่ค่ายรถยนต์กำลังให้ความสำคัญในการผลิต ทั้งในญี่ปุ่น ในสหรัฐอเมริกา อเมริกาเหนือ และทั่วโลก โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด เป็นเป้าหมายใหญ่ ที่ใช้เจ้าไมโครชิพท์รุ่นใหม่นี้ในรถยนต์มากที่สุด
รู้ไว้ใช่ว่านะครับ เพราะบ้านเราจะบอกเพียงว่า ขาดแคลนชิ้นส่วน เท่านั้นเอง
ผลพวงจากเรื่องที่ว่า ก็ประกาศเป็นทางการจาก โตโยตา ว่า ภัยภิบัติ สึนามิ ส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ทำให้เกิดข้อจำกัดในการส่งชิ้นส่วน เพื่อทำการประกอบรถยนต์ในประเทศไทย จึงได้พิจารณาปรับลดปริมาณการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณชิ้นส่วนที่มีจำนวนจำกัด ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน ถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2554 ทั้งที่ โรงงานสำโรง โรงงานเกทเวย์ และโรงงานบ้านโพธิ์
ส่วนน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ฮอนดา บรีโอ ก็ประกาศงดรับจองออกมาทันที ทั้งที่ตั้งเป้าขาย 12 เดือนข้างหน้าเอาไว้ตั้ง 40,000 คัน เพราะเจ้าไมโครชิพท์ ที่ว่าน่ะ ยิ่งเป็นของใหม่ ของรถรุ่นนี้อยู่ด้วย หาของใครมาแทน ไม่มีทางทำได้ทันในเวลาแค่เดือนเดียวได้เลย
ค่ายอื่น ที่บอกว่าไม่มีผลกระทบน่ะ ท่าทางจะไม่จริงละมั้ง
นักข่าวไทยนี่พูดง่ายเนอะ บอกว่าไม่กระทบ ก็ไม่กระทบสินะ
ก็เล่นประกอบแต่รถรุ่นที่ไม่มีเจ้าไมโครชิพท์ที่ว่าเนี่ย มันก็ไม่กระทบน่ะสิ
แถมอีกเรื่อง หรือว่าจะเป็นเรื่องหาเสียงก็ไม่รู้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ มาตรการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของภาคประชาชน อันเกิดจากระดับราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่ง และราคาสินค้า เป็นระยะเวลา 5 เดือน มีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 ลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.035 ดีเซล บี 2 จากอัตราภาษี 5.31 บาท/ลิตร ลงเหลืออัตราภาษี 0.01 บาท/ลิตร
ลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซล ประเภทเมธิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ดีเซล บี 5 จากอัตราภาษี 5.04 บาท/ลิตร ลงเหลืออัตราภาษี 0.01 บาท/ลิตร การปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลดังกล่าว จะกระทบต่อรายได้ของกรมสรรพสามิตประมาณ 45,000 ล้านบาท แต่จากการคาดการณ์ภาพรวมรายได้ของรัฐบาลปีงบประมาณ 2554 แล้ว ยังคงสูงกว่าประมาณการกว่า 1 แสนล้านบาท ส่งผลให้ฐานะการคลังของรัฐบาลในปีงบประมาณนี้ ยังอยู่ในระดับที่มั่นคงท่าทางจะมั่นคงจนได้เข้ามาเป็นรัฐบาลอีกหนสิท่า
เอ๊ะ จั่วหัวว่า พายุลูกใหม่ หรือว่าเรื่องนี้จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกระเป๋าขาดเป็นรูไป 45,000 ล้านบาท แล้วจะไปขึ้นภาษีเหล้า เบียร์ และบุหรี่ มาเป็นพายุลูกใหม่แน่หว่า
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83276