แนะนำเพลง
BATTLE: LOS ANGELES
BATTLE: LOS ANGELES
"สงคราม (รก) โลก"
หนังฟอร์มยักษ์ที่หลายคนบอกว่ามันคือ หนังแห่งปี จนต้องตั้งตาคอยดูกันตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนที่หนังปล่อยตัวอย่างออกมายั่วกิเลสคอสงคราม เรื่องราวมันมีอยู่ว่า...วันหนึ่งจู่ๆ มนุษย์ต่างดาวก็บุกมาทำลายล้างโลกมนุษย์ เน้นที่เมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก จนทหารทุกหน่วยทุกนายต้องออกปฏิบัติหน้าที่ รักษาอธิปไตยโดยการใช้กำลังเข้าห้ำหั่น (เพราะว่าไม่สามารถเจรจาได้)
จ่าครูฝึกนายหนึ่ง ซึ่งกำลังยื่นขอปลดประจำการก่อนกำหนด จึงต้องจับปืนยืนสู้กับเหล่าทหารใหม่ แม้ไม่อยากไปเพราะใจมีปมอะไรซักอย่างอยู่ แต่ดูก็รู้ว่ายังไงก็ต้องไป เพราะเหล่ามนุษย์ต่างดาวมากันชุดใหญ่ ทั้งยานแม่ ยานลูก ลำเล็กลำน้อย หน่วยสนับสนุน หน่วยไล่ล่าภาคพื้นดิน ขนกันมาเต็มพิกัด แบบกะว่าจะถอนรากมนุษย์ออกจากโลกว่างั้นเหอะ
หนังสนุกดีตรงภาพที่มีสงครามยิงกันกลางเมืองใหญ่เละเทะ ตรงเสียงสำหรับคนที่บ้าห่ากระสุนและเสียงเครื่องบินขับไล่ แบบฟังแล้วก็ถูกใจได้ยินเสียงวิ่งผ่านจากซ้ายไปขวา จากหน้ามาหลัง ไม่ใช่เสียงเพลงประกอบยอดเยี่ยมเร้าใจอะไรแบบนั้น คือ ถ้าชอบหนังสงคราม แอคชัน ไซ-ไฟ ทริลเลอร์ น่าจะชอบมากถึงมากที่สุด สมกับที่เขาว่าเป็นหนังแห่งปี
แต่ทีนี้ดูๆ ไปได้ครึ่งเรื่อง ก็เริ่มรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังโฆษณาขายเทคโนโลยีสงคราม และการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์จิตใจอันเข้มแข็งกลมเกลียวของทหารอเมริกัน คือ ต่อให้มนุษย์ต่างดาวลำหน้ากว่าเท่าไรก็ตาม ลองได้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ของนาวิกโยธินสหรัฐ ฯ แล้วสวหัวใจสู้ดูสักตั้ง เจ๋งมาจากไหนข้าก็ล้มได้เสมอพอดูมาถึงตอนนี้เท่านั้น...ก็จะเริ่มรู้สึกเอียน
ยิ่งบวกกับรูปลักษณ์ไร้เสน่ห์ของมนุษย์ต่างดาว ที่ไม่น่าเกรงขามเหมือน PREDATOR หรือ ALIAN ด้วยแล้ว หนังยิ่งน่าเซ็งถึงขั้นหาวหวอดๆ ก็พวกเล่นยิงเท่าไรก็ไม่เข้าเป้าทหารอเมริกันเลยซักนิด ไอ้ที่ชวนลุ้นจึงหมดลุ้น แต่หนังเขาก็ไม่ล้มเลิกอยู่เท่านั้น ยังพยายามสอดแทรกเอาดรามายัดใส่ในปูมหลังครูฝึกบ้าง ใส่ในพลทหารนายโน้นนายนี้บ้าง คนหนึ่งพี่ตายเมื่อครั้งครูฝึกร่วมรบอยู่ด้วย ว่าง่ายๆ ก็พี่ข้าตาย ทำไมเอ็งถึงรอดมาคนเดียว เลยมีเรื่องผิดใจกัน (ระหว่างที่หนีหัวซุกหัวซุนนั่นละ)
ส่วนดรามาอื่นๆ ที่เหลือก็ดาษดื่นจืดเจื่อน ประเภทเมียท้องลูกยังเล็กอะไรเทือกนั้น จากหนังที่น่าจะสนุกแบบไหลลื่น มันจึงขาดๆ เกินๆ สุดท้ายใครว่าหนังแห่งปี ดูมาถึงตรงนี้ก็ขอเถียงขาดใจ...บอกไว้เพราะไม่อยากให้เสียเวลาไปหามาดู ถ้าไม่รักไม่ชอบกันจริง มันไม่สนุกเหมือนเรื่อง ID4 และ 2012 หรือกระทั่งหนังต่อสู้เอเลียนพันธุ์แมลงอย่าง STARSHIP TROOPER หรอก
AT THE EDGE OF THE WORLD
"มนุษยธรรมสุดขอบฟ้า"
หนังอีกเรื่องที่ว่าด้วยสงคราม แต่เป็นสงครามระหว่างคนรักสัตว์กับคนกินสัตว์ ฝ่ายหนึ่งล่าเพื่อหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าการล่ามันชักจะมากไป เพราะ "ปลาวาฬ" เหยื่อที่ถูกไล่ล่าใกล้จะหมดโลกเต็มทีแล้วซีเชเฟิร์ด แอนตาร์คติค คือ ชื่อเรือที่คอยขัดขวางการล่าปลาวาฬของกองเรือญี่ปุ่น ซึ่งใช้สิทธิพิกลพิการของสากลโลกว่าด้วยข้อยกเว้นทางกฎหมาย ให้สามารถล่าได้เพื่อการค้นคว้าวิจัย แต่ถ้าใครได้ดูก็จะรู้เลยว่า นี่มันวิจัยตรงไหน เขาล่าไปกิน เพราะเขากินกันมาตั้งแต่ยังนุ่งผ้าเตี่ยวสวมรองเท้าเกี๊ยะแล้ว !
เรื่องมันเลยเถิดตรงที่กองเรือญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีดีกว่า มีหลายประเทศช่วยปิดตาเวลาพวกเขาล่องเรือเข้าไปล่าปลาวาฬ...กัปตันเรือ ซีเชเฟิร์ด แอนตาร์คติค บอกว่า "ก็ญี่ปุ่นมีเงินเยอะ พวกเขามีการค้ากับทุกๆ ชาติ" ตรงนี้นี่เองที่กลายเป็นลูกเกรงใจให้พี่ยุ่นล่าปลาวาฬได้ในอาณาเขตกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ดังที่ชื่อหนังเขาตั้งไว้พอพร้อมสรรพทั้งเทคโนโลยี และกฎหมายอันชอบธรรม (ที่บิดเบือน) กองเรือนิชชิน มารุ จากดินแดนอาทิตย์อุทัยจึงสามารถตั้งเป้าได้ว่า ออกเรือครั้งนี้ขอปลาวาฬงามๆ ซัก 900 กว่าตัวก็พอ !
ก็มันมากขนาดนั้น ปลาวาฬจึงหายไปเรื่อยๆ กลุ่มคนบนเรือซีเชเฟิร์ดจึงต้องออกมาบังคับใช้กฎหมายกันเอง เขาใช้คำนี้ก็จริง แต่ที่แท้แล้วมันก็ คือ การสู้แบบจิ๊กโก๋งานวัด มีแกสน้ำตากลิ่นเหม็นเน่าสุดๆ คอยเขวี้ยงไปใส่เรือเขา (ถ้าหาเขาเจอแล้วไล่เขาทันนะ) มีเชือกก็มาปั่นๆ แกะๆ ให้มันเป็นฝอยขยุกขยุย เอาไว้โยนให้เข้าใบพัดเรือ ก็สู้กันได้แค่นี้
มีกลุ่มผู้ร่วมอุดมการณ์อย่างกรีนพีศบ้าง สื่อบางสายที่อยากรู้อยากเห็นบ้าง ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งกองเรือล่าปลาวาฬ ทั้งพื้นน้ำพื้นดินเดินหน้ากดดันกันทุกทาง เพราะยิ่งหยุดเรือล่าได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งช่วยปลาวาฬได้มากเท่านั้น
เป็นหนังสารคดีที่ทีมถ่ายทำติดตามเรือซีเชเฟิร์ด แอนตาร์คติค และเรือลำอื่นๆ (ที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน) แบบจริงจัง เพื่อไล่ลำดับภาพก่อนที่เราจะเข้าสู่ยุทธนาวีเล็กๆ ในมหาสมุทร ถามว่าสนุกไหม ? มันก็ไม่สนุกเลย เพราะหนังค่อนข้างจะไร้มิติ ฝ่ายถูกก็ถูกชัดแจ้ง ก็ข้ามาเพื่อพิทักษ์โลกนี่นา ส่วนฝ่ายผิดก็ดูจะผิดไปหมด แม้กระทั่งเหตุผลที่ชวนฟังที่สุด ซึ่งเขาไปสัมภาษณ์พ่อครัวญี่ปุ่นมา พ่อครัวก็ตอบแบบโมโหว่า "แล้วการกินปลาวาฬมันผิดตรงไหน !"
ถ้ามีที่น่าติดตามดูอยู่บ้าง นั่นก็คือ เรื่องราวการช่วยปลาวาฬมันไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ กองเรือญี่ปุ่นเร็วและไร้ร่องรอย ส่วนกองเรือหยุดการล่าก็ดูจะอ่อนล้า และบางทีก็ขัดลำกันเอง ไหนจะอาสาสมัครที่ดูจะหวั่นกลัวทุกครั้งเมื่อท้องทะเลไม่สงบ เรือลำน้อยช่วยปลาวาฬตัวใหญ่ จะไปได้ซักกี่น้ำ พวกเขาจะข้ามสู่จุดที่เรียกว่า "สุดขอบฟ้า" เพื่อช่วยปลาวาฬได้หรือไม่ ก็อยากให้ลองดู เผื่อจะคิดอะไรได้บ้าง ก็แค่นั้นเอง...
ศิลปิน : HOPE
อัลบัม : LOVE LOVE LOVE
แนวดนตรี : POP
"จากยอดหญ้าสู่ฟองน้ำพุที่พุ่งลอย"
HOPE หญิงสาวชาวนิวยอร์ค เติบโตไม่ไกลจากวูดสตอคเท่าไรนัก ในวัยเด็กเธอหัดร้องเพลงตั้งแต่ยังเล็ก พอโตมาหน่อยก็หัดเล่นเพียโนและกีตาร์ จากนั้นก็สอนตัวเองให้แต่งเพลงและเล่นดนตรี เพราะเธอเกิดในครอบครัวนักดนตรี มีคุณแม่ทำงานในโรงละครอพอลโล และคุณพ่อเป็นผู้อำนวยการดนตรีที่บรอดเวย์มาตั้งแต่ปี 1970
แม้จะฟังดูว่าเป็นครอบครัวที่น่าชื่นชม เปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นในสิ่งที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ในกรอบเดิมๆ (ส่วนหนึ่งก็เพราะธุรกิจดนตรีบ้านเขาที่เติบโตหาเลี้ยงชีพได้นั่นละ) แต่ครอบครัวของ HOPE ก็ต้องรู้สึกท้อใจทุกครั้ง เมื่อเธอหมุนหน้าปัดวิทยุไปหาคลื่นเพลง POP ฟัง PHIL COLLINS, MARIAH CAREY และ SADE ทั้งนี้ก็เพราะพ่อแม่อยากให้เธอเรียนเพียโนอย่างจริงจังมากกว่า กระนั้นก็ตามเธอก็แอบฟังอย่างลับๆ จนเริ่มเทใจรักให้กับเพลง POP อย่างหมดใจ...
พอเรียนจบมัธยมเธอจึงหอบกระเป๋าเข้าเมืองลอสแองเจลิส พร้อมเงิน 40 เหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า "มันช่างเป็นเมืองที่มีทัศนียภาพสวยงาม อีกทั้งผู้คนก็ดูหลากหลาย และนั่นทำให้ฉันตกหลุมรักเมืองนี้ทันที" นี่เอง...เธอจึงกลายมาเป็นคนที่มีโลโกมองโลกแง่บวกติดตัวอยู่เสมอ
และความเป็นคนมองโลกแง่บวกนี่เอง ที่มันฉายชัดเข้ามาในผลงานทุกอัลบัมของเธอ ตั้งแต่ยุคแรกที่เธอทำเองขายเองแบบอินดีไซด์สตรีท หาเลี้ยงชีพด้วยการขายซีดี อัลบัมชุดนั้นชื่อ RAIN=FLOWERS=LOVE=POETRY ผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจ เพราะเธอใช้ทั้งตัวและหัวใจในการแสดงโชว์ตามที่ต่างๆ ซึ่งฝรั่งเขาเรียกวิธีแบบนี้กันว่า GRASSROOTS มีเพลงก็ขายเพลง โชว์ได้ก็โชว์ไปทุกที่ ไม่ว่าอากาศจะหนาวเหน็บเพียงไหน
จนเมื่อเธอออกซิงเกิลที่ชื่อ LOVE LOVE LOVE ภาษากวีจึงเริ่มพรั่งพรูเข้าสู่ใจคนฟัง บางคนว่ามันเป็นเพลงที่ไม่เขินอายเลยหากจะกล่าวคำว่ารักบ่อยๆ เพราะมันเหมือนฟองน้ำพุที่พุ่งลอยในสายลมฤดูใบไม้ผลิ และบ้างก็ว่าเธอได้รับพรพิเศษให้มีเสียงของเทพธิดา มีมนต์คาถาสะกดใจคนฟังดังเช่นแสงแดดยามเช้าท่ามกลางธรรมชาติ
ฝน ลม รัก บทกวี ดอกไม้ และอะไรต่อมิอะไรในทำนองแผ่วเบาระรื่นใจนี้ จึงมีให้ได้ยินในหลายๆ เพลงของเธอ ซึ่งแม้จะยังไม่ใช่อัลบัมเต็มของตนเอง แต่มันก็ปรากฏอยู่ในงานชิ้นใหญ่ๆ อย่างเช่น ในหนังเรื่อง WHY DID I GET MARRIED, P.S. I LOVE YOU, STEP UP 2 และ MTV'S "THE CITY"
ล่าสุดซิงเกิล LOVE LOVE LOVE ก็ได้นำมาร้องใหม่ โดยเชิญ JASON MRAZ นักร้องหนุ่มผู้นำทเรนด์เพลงสไตล์เบาสบาย สายลม แสงแดด มาร่วมร้องด้วย และเชื่อว่านี่น่าจะเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ซึ่งจะพาเธอไปสู่ใจคนฟังในวงกว้าง...แม้อยากจะบอกว่า ชอบเสียงที่เธอร้องคนเดียวมากกว่าเป็นไหนๆ
(ลองฟังเพลงของเธอได้ใน myspace.com/hearhope)
ศิลปิน : SEA WOLF
อัลบัม : WHITE WATER, WHITE BLOOME
แนวดนตรี : INDIE FOLK
"ฟ้าไร้แสง...วันที่เสียงกลายเป็นสีเทา"
SEA WOLF วงที่นำโดย ALEX BROWN CHURCH นักดนตรีที่จัดอยู่ในกลุ่มนักดนตรีโฟล์ค หรือดนตรีพื้นบ้าน นายคนนี้เขาเป็นพื้นบ้านแบบใต้ดิน หรือที่เรียกกันว่า อินดี อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย เรียนที่โรงเรียนภาพยนตร์ NYU และยังเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม IRVING ในปี 1998
กลุ่ม IRVING นี้ละที่เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของวง SEA WOLF เพราะหลายเพลงที่นายคนนี้เขาแต่งขึ้นมันไม่ได้เข้ากันเลยกับสไตล์ของ IRVING เขาจึงเริ่มผลักดันหมุนเวียนให้ SEA WOLF ได้ออกเเสดงในที่ต่างๆ ไม่เกี่ยงว่าจะแค่เล่นในที่เล็กๆ แถวบ้าน หรือการเล่นอย่างจริงจังเพื่ออัดเดโมในซีแอทเทิลกับ PHIL EK พโรดิวเซอร์ของ BAND OF HORSES, THE SHINS, FLEET FOXES
ถามว่าชื่อที่เอ่ยมานี้ มีใครรู้จักกันบ้างไหม ? ก็เปล่าเลย แต่บุคคลเหล่านี้ละ ที่จะขับเคลื่อนโลกแห่งเสียงเพลงแนวอินดีโฟล์คให้ก้าวต่อไป
ในที่สุดพอถึงปี 2007 SEA WOLF จึงได้เซ็นสัญญากับค่าย DANGERBIRD RECORDS เข็นซิงเกิลแรกออกมาในชื่อ GET TO THE RIVER BEFORE IT RUNS TOO LOW ก่อนปล่อยอัลบัมเต็มที่ชื่อ LEAVES IN THE RIVER เข้าตีกระแสความนิยมของคนกลุ่มใหญ่ จนชาร์ท BILLBOARD HEATSEEKERS ต้องจารึกชื่อพวกเขาไว้ในอันดับที่ 24 ผ่านไป 2 ปี อัลบัมที่สองชื่อ WHITE WATER, WHITE BLOOME ก็ได้เปิดตัวขึ้นอีกครั้ง โดยยังคงอยู่กับค่ายเล็กชื่อแปลกเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน แต่อัลบัมนี้ได้ MIKE MOGIS (BRIGHT EYES, MONSTERS OF FOLK, M. WARD) มาช่วยดูแลการบันทึกเสียงให้ที่สตูดิโอของเขาในโอมาฮา
และด้วยสไตล์ดนตรีของ SEA WOLF ที่ฟังแล้วออกแนวหม่นๆ ใช้ตัวโนทน้อยๆ ซ้ำไปมา หลายคนที่ชอบ EELS หรือ RADIOHEAD จึงเริ่มเงี่ยหูฟังเพลงของพวกเขา และเริ่มปันใจให้ทีละเล็กละน้อย ถามจากเพื่อนพ้องก็บอกว่า เอาไว้ฟังตอนทำงาน ได้อารมณ์เนือยแบบเพลินๆ เพราะ SEA WOLF ถือเป็นวงที่เลือกเมโลดีได้ดี ได้ยินแล้วไม่รบกวนสมาธิการทำงาน
ทั้งเสียงเครื่องดนตรีพื้นฐานอย่าง กีตาร์ เบสส์ กลอง ซึ่งนอนมาเป็นหลัก และยังได้เสียงคีย์บอร์ดกับเชลโลมาห่มคลุมให้ซาวน์ดดูพลิ้วไหว ในขณะที่กำลังพาเราเข้าสู่โลกนิทราสีเทา
ใครที่ชอบหม่นๆ ก็ชอบหม่นๆ ใครที่ชอบใสๆ คงต้องห่างให้ไกลจาก SEA WOLF ของแบบนี้มันว่ากันไม่ได้ หูใครก็หูมัน บางคนหูเหล็กจะเอาพลาสติคไปเคาะเขาก็ไม่ชอบ บางคนรักของเก่า เอาอะไรมาใส่ก็ไม่ยอมเปลี่ยน แต่อย่างไรก็ตาม เสียงฮึมฮัมของนักร้องนำวงนี้ ก็มีคนนำไปเปรียบเทียบกับนักดนตรีรุ่นใหญ่ขวัญใจใครหลายคนที่ชื่อ BECK ด้วย
สุดท้ายแม้ว่าเวลานี้ SEA WOLF จะยังไม่โด่งดังเป็นที่รู้จัก แต่เพลงของพวกเขาก็เดินทางเข้าสู่โลกของหนังสือแล้ว โดยมีนักเขียนชาวอเมริกันที่ชื่อ AUGUSTEN BURROUGHS เจ้าของหนังสือขายดี RUNNING WITH SCISSORS (MEMOIR) เปิดทางให้พวกเขาทำเพลงประกอบในหนังสือรูปแบบ AUDIO BOOK ซึ่งเราคงต้องดูกันต่อไปว่า วงนี้และแนวเพลงแบบนี้จะพาโลกใบหม่น เข้าปะปนกับโลกใบใหม่อย่างไรบ้าง
เรื่องโดย : ปัญญ์
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : แนะนำเพลง
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83212