ระหว่างเพื่อน
สุภาษิต-คนไทย
วิถีชีวิตความเป็นคนไทยแต่โบราณกาล มองเห็นได้ชัดเจนอย่างมาก ถ้าหยิบเอาสุภาษิตไทยขึ้นมาอ่าน แต่ละบรรทัด แต่ละความหมาย ล้วนบ่งบอกว่าต้นตำรับมาจากวิถีชีวิตคนไทยทั้งสิ้น โดยเฉพาะอิศรญาณภาษิต
"อิศรญาณภาษิต" เป็นบทพระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าอิศรญาณ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 4 ได้รับการเรียกขานอีกชื่อหนึ่งว่า "เพลงยาวเจ้าอิศรญาณ" เนื่องด้วยบทนิพนธ์เป็นคำประพันธ์ประเภทเพลงยาว
"ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ"
นี่ก็เป็นบทต้นที่คมคายอย่างยิ่งของ อิศรญาณภาษิต และค่อนข้างจะเป็นที่รู้จักกันในสังคมไทยอย่างไม่มียุคสมัย เพราะเป็นภาษิตสะท้อนให้เห็นความเป็นคนไทยตลอดกาลเวลา ผู้ชายวันนี้ ก็มิได้แตกต่าง หรือเป็นผู้ชายที่ดีขึ้นกว่าผู้ชายในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แต่ประการใด ความเป็นข้าวเปลือก-ไปตกหล่นที่ไหน ก็เจริญงอกงามที่นั่น ยังคงพร้อมสรรพด้วยความเป็นผู้ชายอีกทั้งความเอื้ออาทรระหว่างกัน คนไทยเราก็มีวิถีชีวิตเช่นนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขาดกันไม่ได้ประหนึ่งดังเรือที่พายอยู่ที่น้ำ หรือเสือทั้งหลายในป่าลึก
แต่โบราณกาลมาแล้ว คำว่า บ้านใกล้เรือนเคียง นั้นมีความหมายลึกซึ้ง แม้ทุกวันนี้วิถีชีวิตคนไทยในชนบทก็ยังรักษาสิ่งนี้ไว้อย่างน่าสรรเสริญ รู้จักรักใคร่กันตั้งแต่ปากซอยจนถึงก้นซอย มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เห็นความทุกข์ของผู้อื่นเสมอด้วยของตนผมพูดมานี้อาจไม่ตรงกับสังคมคนเมืองสักเท่าไร คนในกรุงเทพ ฯ ส่วนใหญ่มีบ้านพักอาศัย ถ้าไม่ใช่คอนโด อพาร์ทเมนท์ ก็เป็นบ้านจัดสรร และคนไทยที่มีรั้วบ้านติดกันในหมู่บ้านจัดสรร หรือมีห้องพักในอาคารชุดติดกัน อาจไม่รู้จักชื่อแซ่กันเลย
ซึ่งก็ต้องเข้าข่ายยกเว้น เพราะสภาพแวดล้อมของคนเมืองนั้นเป็นความกดดันให้เกิดความรีบร้อน เพื่อการดำรงไว้ซึ่งความเป็นอยู่ของชีวิตประจำวันอะไรๆ ทุกสิ่งของชีวิตในแต่ละวัน เป็นความรีบเร่งไปทั้งหมด สภาพชีวิตจึงไม่แตกต่างกับฝูงหนูที่ติดจั่น ขณะที่ผู้ชายเปรียบเหมือนข้าวเปลือก ผู้หญิงก็เหมือนข้าวสาร ไปตกไปหล่นตรงไหนก็เจริญงอกงามไม่ได้ รังแต่จะบูดเน่า
"เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด ไปพูดขัดเขาทำไมขัดใจเขา ใครทำตึงแล้วหย่อนผ่อนลงเอา นักเลงเก่าเขาไม่หาญราญนักเลง"
นี่ก็หมายถึงพฤติกรรมของคนไทยแต่โบราณ ย่อมมองดูผู้อาวุโสเป็นหลัก คิดเสียว่าความเป็นผู้ใหญ่ของบุคคลผู้นั้นย่อมเป็นดวงประทีปส่องเส้นทางชีวิตของตนได้เป็นอย่างดี
จำเป็นต้องแก้ปัญหาชีวิต หรือเจริญรอยตามที่ผู้ใหญ่ของตนประกอบกรรมทำไว้ และคงไม่ใช่ประเภทลูกไม้หล่นไกลต้น ซึ่งมีความหมายไปคนละอย่าง
ข้อควรคิดอีกประการหนึ่งในบทนี้ ก็น่าจะเป็น ความเคารพนับถือผู้ที่อาวุโสกว่า หรือการให้ความเคารพนับถือบรรพชน ซึ่งก็เป็นอีกข้อหนึ่งในวิถีชีวิตความเป็นคนไทยผมเคยมีหัวหน้างาน ท่านก็เคยพูดและปฏิบัติเป็นประจำ เมื่อเห็นใครก็ตามไปขัดใจคนอื่นแล้วก็ต้องเปรยออกมาทันทีว่า
"เป็นความสุขของเขา แล้วเราจะไปขัดใจขัดความสุขของเขา เพื่ออะไร"
อีกบทหนึ่งของ "อิศรญาณภาษิต" ที่สะท้อนความเป็นคนไทยเป็นอย่างดีก็คือ
"อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว จงฟังหูไว้หูคอยดูไป เชื่อน้ำใจดีกว่าอย่าเชื่อยุ"
ผมเข้าใจว่าคนไทยส่วนมาก มีประสบการณ์กับเรื่องอย่างนี้มาด้วยกัน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจต่อการสัมผัส โดยเฉพาะในความที่เกี่ยวพันมาถึงความเป็นครอบครัว การแตกแยกในครอบครัวอาจจะเกิดได้ หากไม่มีความหนักแน่นต่อการรับฟังข้อมูลสามีและภรรยาที่แตกหักกันไปนั้น หลายคู่เกิดเพราะมือที่สาม การกระทำของมือที่สามก็คือการผลักเสาหินแปดศอก วันนี้ผลักครั้งแรกอาจไม่เขยื้อน แต่ผลักไป/มาบ่อยๆ เข้า ก็อาจสำเร็จ ถึงไม่หลุดกระเด็นแต่ก็เข้าระดับ สั่นคลอน
การสั่นคลอนของเสาหินแตกต่างกว่าการสั่นคลอนของหัวใจคน อิศรญาณภาษิต จึงเน้นนักหนาถึงความเป็นคนหนักแน่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าคนนายคนต้องหนักแน่น ไม่เชื่อฟังใครง่ายจนเสียการปกครองเพราะหูเบา
ความในทำนองเดียวกันนี้ ยังอ่านเห็นได้จาก อิศรญาณภาษิต ในบทต่อไปที่ว่า
"อันความเรื่องเดียวกันสำคัญกล่าว พูดไม่ดีแล้วก็เปล่าไม่แข็งเข้ม ข้าวต้มร้อนอย่ากระโจมค่อยโลมเล็ม วิสัยเข็มเล่มน้อยร้อยช้าช้า ถึงโปร่งปรุในอุบายเป็นขายชาติ แม้หลงมาตุคามขาดศาสนา อันความหลงแม้ไต่ปลงสังขารา แต่ทว่ารู้บ้างค่อยบางเบา อย่าโอกโขยกอยู่ในโลกสันนิวาส แต่นักปราชญ์ยังรู้พึ่งผู้เขลา เหมือนเรือพ่วงช่วงลำในสำเภา เรือใหญ่เข้าไม่ได้ใช้เรือเล็ก"
ทั้งหมดข้างต้นในคำกลอนนี้ เกี่ยวข้องกับการดำรงตนมิให้อยู่กับความประมาทตามธรรมะในพระพุทธศาสนา รู้จักการยืดหยุ่น หนักเป็นเบา ตามแต่กาละและเทศะ กิจการงานบางครั้งผู้ใหญ่อาจไม่เหมาะกับงานชิ้นนั้น แต่ผู้น้อยสามารถแก้ปัญหาได้ดีกว่า เรื่องอย่างนี้ผมเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องใช้มาบ้างแล้ว แม้กระทั่งการคบผู้คนในสังคมเดียวกัน อิศรญาณภาษิต ก็ยังแสดงออกให้เห็นมาแต่โบราณกาลว่า คนไทยเรามีวิถีทางแห่งการคบหาอย่างไร ตามบทที่ว่า
"อย่าคบมิตรจิตพาลสันดานชั่ว จะพาตัวให้เสื่อมที่เลื่อมใส คบนักปราชญ์นั่นแหละดีมีกำไร ท่านย่อมให้ความสบายหลายประตู"
ซึ่งบทนี้ก็น่าจะไปกันได้กับสุภาษิตที่ว่า "คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล" ซึ่งไม่จำเป็นต้องพรรณาสิ่งใดให้มากเรื่อง
"คนแก่มีสี่ประการโบราณว่า แก่ธรรมาพิศมัยใจแห้งเหี่ยว แก่ยศแก่วาสนาปัญญาเปรียว แต่แก่แดดอย่างเดียวแก่เกเร"
นี่ก็พอจะเตือนคนแก่อย่างผมได้กระมัง ว่าเป็นคนแก่จัดอยู่ในประเภทที่เท่าไรในสี่ประการ ผมลองเปิดพจนานุกรมไทยของราชบัณฑิตสถาน ปี พศ. 2542 ระบุความแก่ของผู้คนไว้ดังนี้
"แก่วัด" ซึ่งก็หมายถึงคนที่อยู่วัดนาน แต่คงไม่ได้หมายความถึงเด็กวัด ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กจากต่างจังหวัด เข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ ก็อาศัยวัด ข้าววัด เป็นโรงแรมไม่ต้องเสียค่าเช่า
"แก่แดด" พจนานุกรมระบุว่ามักใช้กับคนที่เป็นเด็ก ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ
"แก่ดีกรี" อันนี้หมายถึง คนที่ติดสุราเรื้อรัง หรือคนที่ดื่มเหล้ามาก คนอื่นตอกเสาหินแต่คนนี้ตอกเหล้าเป็นประจำไม่ว่าเข้าพรรษาหรือออกพรรษา
ภาษิตอีกบทหนึ่งให้ความรู้ความเข้าใจกับผมยิ่ง เพราะเข้าใจผิดมาแต่ต้น เป็นคนละความหมาย คือ ภาษิตที่ว่า
"ความรู้ท่วมหัวตัวไม่รอด" ใน "อิศรญาณภาษิต" ชี้แจงว่า "เป็นคำสอดของคนเกเรเกเส เรียนวิชาไม่แม่นยำคะน้ำคะเน ไปเที่ยวเตร่ประกอบชั่วตัวจึงจน"
แต่เดิมมาผมคิดว่า ความยากจนเกิดจากความรู้ที่เรียนมาไม่เป็นประโยชน์ให้ความรุ่งเรืองอุบัติขึ้นได้ ต้องพลาดท่าเสียทีผู้อื่นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้าทำนองความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ซึ่งหม่อมเจ้าอิศรญาณแจกแจงว่า เป็นเพราะกรรมชั่วของเราเอง และไม่ควรโทษความรู้ที่เรียนมา
นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมอยากบันทึกไว้ เพื่อตระหนักวิถีชีวิตของสังคมไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในความคิดของบรรพชนของเรา เป็นมรดกอันล้ำค่าที่ต้องช่วยรักษาไว้ด้วยความภูมิใจครับ
เรื่องโดย : "สยาม เมืองยิ้ม"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : ระหว่างเพื่อน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83161