รู้ลึกเรื่องรถ
มีอะไรในยาง เอฟ วัน ?
มีผู้อ่านจำนวนหนึ่งขอให้เขียนเรื่องของรถ เอฟ วัน ต่อจากเครื่องยนต์ ซึ่งไม่ต้องเลือกเลยครับว่าควรจะเป็นเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่ยาง เพราะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ต่อการทำเวลาทั้งในการแข่งขัน และการจับเวลาเพื่อชิงตำแหน่งออกรถการที่ยางของรถ เอฟ วัน เป็นส่วนสำคัญที่สุดต่อชัยชนะนั้น มีสาเหตุสำคัญอยู่อย่างเดียวเองครับ ซึ่งก็คือการส่งแรงต่างๆ สู่ผิวถนน ต้องอาศัยแรงเสียดทานเสมอไม่มีฟันเป็นหยักขบกับผิวถนน ช่วยรับแรงเร่งหรือเบรค ไม่มีรางประกบรับแรงด้านข้าง หรือแรงหนีจุดศูนย์กลางในโค้ง มีเพียงแรงดึงดูดของโลกที่ทำต่อตัวรถกับการอาศัยแรงจากอากาศที่รถแหวกผ่านไป ช่วยกดตัวรถกับถนน แรงอย่างแรกเรารู้จักกันดีอยู่แล้วครับ ว่าคือ น้ำหนักของรถ ส่วนแรงที่สองต้องอาศัยฝีมือของผู้ออกแบบตัวรถ ปรับแต่งให้ได้แรงกดตัวรถลงด้านล่าง เพื่อเพิ่มแรงระหว่างหน้ายางกับผิวถนน ถึงจะทำให้รถต้านลมเพิ่มขึ้น แต่ก็เกินคุ้มครับ เพราะสนามแข่ง เอฟ วัน เต็มไปด้วยโค้ง เมื่อได้แรงกดนี้เหมาะสมที่สุดแต่ละสนามแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเหล่าวิศวกรยางที่จะต้องทำให้เกิดแรงเสียดทานสูงสุด เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็ได้ครับ ว่าเป็นแรงเกาะถนน
ธรรมชาติของการยึดเกาะของยางกับผิวถนนนั้น ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางฟิสิคส์ที่พวกเราเรียนกันในชั้นมัธยมครับ คือ ไม่ขึ้นอยู่กับพื้นที่ระหว่างคู่สัมผัส แต่การเกาะของยางกับผิวถนน ขึ้นอยู่กับพื้นที่ส่วนที่สัมผัสกันด้วย ยิ่งมากก็ยิ่งเกาะได้ดี หมายถึงกับผิวแห้งนะครับ ถ้ามีของเหลว เช่น น้ำมาคั่น กฎนี้ก็จะเปลี่ยนไป
ยางแข่งถนนแห้ง จึงมีความกว้างมากเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ถูกจำกัดโดยกติกาการแข่งขัน เพื่อให้ได้พื้นที่มากที่สุด จึงเป็นแบบเรียบเนื้อเต็ม ไม่มีดอก แต่ตั้งปี 1998 ถูกบังคับให้มีร่อง เพื่อลดการเกาะถนนในโค้ง เป็นเหตุผลด้านความปลอดภัยแต่เพียงอย่างเดียวครับ เมื่อการเกาะถนนในโค้งลดลง ความเร็วของรถในโค้งก็ลดลงด้วย
งานพัฒนายางแต่ละรุ่นสำหรับรถ เอฟ วัน ซึ่งบางครั้งเป็นงานเร่งด่วนที่สุด อาจใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ เท่านั้น โครงสร้างของมัน โดยรวมคล้ายยางเรเดียลที่เราใช้กันอยู่นี่แหละครับ แต่ไม่เน้นความนุ่มนวล โครงสร้างของแก้มยาง เอฟ วัน แข็งกระด้างกว่าเพื่อให้ตอบสนองต่อพวงมาลัยได้ว่องไว แม่นย่ำร่องระหว่างดอกยางถูกบังคับให้มีความลึกตั้งต้น คือ ก่อนถูกใช้งาน 2.5 มม. กว้าง 14 มม. ที่หน้ายาง และ 10 มม. ที่ก้นร่อง ระยะห่างระหว่างกึ่งกลางร่อง 50 มม. หักลบกันแล้วเป็นเนื้อยาง กว้าง 36 มม. น้ำหนักของยางหน้าเส้นละประมาณ 9 กก. ส่วนยางหลังประมาณ 11 กก. เป็นยางแบบไม่ใช้ยางใน ใส่แกสไนโตรเจนเกือบ 100 % เพื่อให้ความดันแปรเปลี่ยนไม่มาก เมื่ออุณหภูมิของยางเปลี่ยนไป เพื่อให้พฤติกรรมของรถค่อนข้างคงที่ตามที่ได้ปรับไว้ หน้ายางขณะแข่งขันอาจร้อนถึง 120 องศาเซลเซียสครับ ความดันที่ใช้ขณะแข่งต่ำกว่าที่พวกเราเติมรถใช้งานครับ ยางหน้า ประมาณ 17 ถึง 19 ปอนด์/ตร.นิ้ว ส่วนยางหลัง ซึ่งกว้างกว่า ใช้แค่ 15 ถึง 17 ปอนด์/ตร.นิ้ว ก็พอแล้ว
ส่วนยางสำหรับผิวสนามที่เปียกมีสองระดับด้วยกันครับ แตกต่างที่ดอกยาง และความลึกของร่องรีดน้ำแบบสำหรับถนนเปียกชิ้น ใช้ตอนถนนเกือบแห้งสนิทได้ด้วย เพราะร่องรีดน้ำตื้น และพื้นที่ดอกยาง ที่เรียกกันว่าส่วนที่เป็น บวก (+) มาก ส่วนอีกแบบ มีดอกยางที่เน้นให้รีดน้ำได้ดีเป็นพิเศษเมื่อฝนตกหนัก เรียกกันแบบไม่เป็นทางการว่าสภาพมรสุม นอกจากต้องมีดอกยางเหมาะสมแล้ว เนื้อยางต้องอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ เพื่อให้เกาะถนนเปียกได้ดี โดยไม่ต้องกลัวว่าหน้ายางจะละลายเพราะร้อนเกิน เนื่องจากมีน้ำที่ผิวถนนช่วยระบายความร้อน ที่จริงยางแข่งถนนแห้งก็เกาะถนนดีที่สุดครับ ถ้าใช้หน้ายางนุ่มแบบยางสนามเปียก แต่จะมีปัญหาหน้ายางละลายจนเหนียว หลุดเป็นชิ้นจากความร้อน กับปัญหาสึกเร็วมาก
สิ่งสำคัญที่สุด สำหรับการทำเวลาได้ดี และชัยชนะ ในส่วนที่เกี่ยวกับยางก็คือ เนื้อยาง และอุณหภูมิ ขณะถูกใช้งาน ซึ่งถือกันว่าเป็นทั้งศาสตร์ และศิลปะ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันจะเป็นความลับหรือไม่ ? แน่นอนที่สุดครับ ทีมที่เปลี่ยนผู้สนับสนุนยาง จะถูกทวงคืนยางจากผู้สนับสนุนรายเดิมอย่างเข้มงวดที่สุด ไม่ให้หลงเหลือเล็ดรอดตกค้างอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกผู้สนับสนุนรายใหม่เอาไปผ่า ชำแหละอย่างแน่นอน
เนื้อยางจะถูกเลือกส่วนผสมอย่างละเอียดเจาะจง ให้เหมาะกับการแข่งแต่ละสนามเป็นพิเศษ หลักใหญ่แบบหยาบๆ สำหรับการเลือกส่วนผสมสำหรับหน้ายาง ก็คือ นุ่มที่สุดที่ยังมีความทนทานพอ ไม่หลุด ละลาย หรือสึกเร็วเกินไป ไม่ใช่แค่เหมาะกับสภาพแต่ละสนามเท่านั้นครับ ต้องเหมาะกับการขับของนักขับแต่ละคนด้วย พวก โหด มักจะต้องใช้เนื้อหน้ายางแข็งหน่อย จึงจะทนไหว วิศวกรยางจะเลือกเนื้อหน้ายางสำหรับนักแข่งแต่ละคนไว้ 2 รุ่น ที่เชื่อว่าดีที่สุด แล้ววัดอุณหภูมิผิวสนามแข่ง หรือผิวถนนหน้าพิท จากนั้นจึงเลือกยาง และความดันที่เชื่อว่าเหมาะที่สุด หน้ายางที่ เย็น เกินไป ที่จริงควรเรียกว่า ร้อนน้อยเกินไปครับ หรือมีเนื้อแข็งเกินไปจะทำให้รถเกาะถนนไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถ้าร้อนเกินไป หรือเนื้อนุ่มเกินไปก็ให้ผลเสียไม่ต่างกัน ความดันที่เหมาะในแต่ละสนาม จะทำให้หน้ายางร้อนพอเหมาะ เป็นที่รู้กันว่าแชมพ์โลกหลายสมัยอย่าง ชูมาเคร์ สามารถบอกได้ทันทีหลังการลองขับ แม้ความดันจะมีค่าต่ำกว่าที่ควร ไม่ถึง 2 ปอนด์/ตร.นิ้ว
เพื่อให้รถเกาะถนนได้ดีทั้งแต่เริ่มแข่ง ทุกทีมจะอุ่นยางด้วยเครื่องให้ความร้อน หุ้มยางไว้ให้ร้อนประมาณ 100 องศาเซลเซียส แค่นี้ยังไม่พอครับ ผิวหน้ายางควรสึกไปบ้าง เพื่อให้เนื้อส่วนที่สัมผัสกับสารในแม่พิมพ์หมดไป จึงจะเกาะถนนได้ดีเต็มที่
อายุใช้งานของยาง เอฟ วัน ขณะแข่งอยู่ที่ประมาณ 150 กม. มากน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับลีลาของนักขับแต่ละคน
มีคำถามที่ผู้นิยมความเร็วมักสงสัยว่าการเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ของรถแข่ง เอฟ วัน กับการเพิ่มการเกาะถนนของยาง อย่างไหนจะให้ผลมากกว่าการเพิ่มการเกาะถนนของยางให้ผลมากกว่าครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของสนามแข่งด้วย เช่น เปรียบเทียบการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ขึ้น 5 % กับเพิ่มการเกาะถนนของหน้ายางขึ้น 5 % เท่ากัน ถ้าเป็นสนามมีทางตรงความเร็วสูง กำลังที่เพิ่มขึ้นของเครื่องยนต์ อาจลดเวลาต่อรอบได้สัก 0.7 วินาที แต่ถ้าเพิ่มการเกาะของหน้ายาง อาจลดเวลาได้เกิน 1 วินาที ครับ และความแตกต่างนี้จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถ้าเป็นสนามที่ไม่มีทางตรงความเร็วสูง แต่เป็นโค้งเกือบทั้งหมด เช่น สนาม ฮังกาโรริง ในฮังการี การเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ ลดเวลาต่อรอบลง ราวๆ 0.4 วินาที แต่ถ้าเพิ่มการเกาะของยางแทนจะลดเวลาลงได้เกือบ 2 วินาที ต่างกันเกิน 400 %
ในขณะที่ในตัวอย่างแรกต่างกันแค่ไม่ถึง 200 % ครับ เห็นได้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นการแข่งในสนามแบบใด การเพิ่มการเกาะถนนของยาง ก็ย่อมได้เปรียบการเพิ่มกำลังเครื่องยนต์เสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังของเครื่องยนต์ไม่มีความหมายนะครับ การแข่ง เอฟ วัน คือสุดขีดของรถแข่งครับ ต้องสุดขีดในทุกด้าน โดยเฉพาะยาง เบรค เครื่องยนต์ พลศาสตร์อากาศของตัวรถ ช่วงล่าง และส่วนสำคัญไม่แพ้ยาง ฝีมือผู้ขับครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83150