MITSUBISHI TRITON PLUS 2.5 VG TURBO

“ขับรถชมทะเลหมอกในดินแดนที่ได้ชื่อว่า สวิทเซอร์แลนด์เมืองไทย” คือ โจทย์ที่ทำให้เราตอบรับหมายเชิญจาก บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และยิ่งได้ลองควบ มิตซูบิชิ ทไรทัน พลัส 2.5 วีจี เทอร์โบ ม้าศึกรุ่นใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวมาเพื่อตอบโจทย์น้ำมันแพง ยิ่งทำให้เราสนใจมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะใจหนึ่งอยากลองเครื่องยนต์ วีจี เทอร์โบ ที่บลอคเครื่องเล็กลง แต่รีดแรงม้าได้มากขึ้น   หลังเครื่องบินของสายการบินนกแอร์ เที่ยวบิน DD8400 ร่อนลงบนรันเวย์ของสนามบินพิษณุโลก ในช่วงเช้าของวันที่อากาศกำลังเย็นสบาย หลังฟังบรรยายเส้นทางจาก “ต้น” จีรศักดิ์ สุวรรณพืช ที่มารับหน้าที่เป็นคาราวานลีเดอร์ ในทริพนี้ ขบวนรถ มิตซูบิชิ ทไรทัน พลัส และปาเจโร สปอร์ท จอดเรียงรายรอต้อนรับสื่อมวลชนที่เดินทางมากว่า 20 คน แต่ละคันถูกจับจองตามวิธีจับสลาก ผม และ “ป้าตั๋ม” ถิรพร เนาว์ถิ่นสุข จับได้รถหมายเลข 8 ทไรทัน พลัส ป้ายแดง คือ พาหนะที่เราต้องอยู่คู่กันในทริพนี้   วันแรก ภารกิจสารถีเป็นหน้าที่ของผม เป้าหมายแรกขับรถไปไหว้พระพุทธชินราช เอาฤกษ์เอาชัย จากนั้นตามไปสักการะศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่อยู่ใกล้ๆ กัน หลังเสร็จภารกิจสำคัญ ขบวนคาราวานมุ่งหน้าสู่เขาค้อ โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 12 ระยะทางประมาณ 89.5 กม. ไปแวะทานอาหารกลางวัน ณ เขาค้อทะเลภู จากนั้นจึงเริ่มต้นทดลองสมรรถนะของเจ้าม้าศึก ทไรทัน ทันที ด้วยเส้นทางจากเพชรบูรณ์-หล่มสัก ถึงสามแยกนางั่ว ระยะทางประมาณ 13 กม. เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 2258 อีก 30 กว่ากม. เป็นเส้นทางขึ้นเขาค้อที่คดเคี้ยว ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ เพราะช่วงนี้มีทางโค้งเยอะมาก ถนนค่อนข้างแคบ และลาดชัน ทำให้เรามีโอกาสได้ลองเกียร์ ระบบห้ามล้อ และวงเลี้ยวของรถ รวมถึงแรงบิดในขณะขึ้นทางลาดชัน ประสิทธิภาพโดยรวมอยู่ในขั้นที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะด้วยรอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 รตน. สามารถทำความเร็วได้ตั้งแต่ 120-150 กม./ชม. ต้องถือว่าไม่ธรรมดา เครื่องเล็กแต่สร้างสมรรถนะได้เกินคาด ทำให้เราขับขี่อย่างสนุกสนาน   ช่วงบ่ายของวันแรก เราขึ้นไปชมความงามของตัวเมืองเพชรบูรณ์บนเขาค้อ ไปเยือนอนุสาวรีย์ผู้เสียสละ และไปเที่ยวชมฐานอิทธิ จากนั้นขบวนจึงเคลื่อนตัวไปลองสมรรถนะกันต่อ ในเส้นทางทุ่งแสลงหลวง ช่วงเย็นวันนั้น เราขับเป็นรูปขบวนคาราวาน พาเหรดเข้า อช. ทุ่งแสลงหลวง โดยขับเว้นระยะห่างพอสมควร ขาเข้าจึงใช้เวลาค่อนข้างมาก พอเข้าไปถึงเกือบจะห้าโมงเย็น หลังแอคชันถ่ายภาพจนพอใจแล้ว คราวนี้ละ ความสนุกเริ่มเปิดฉากขึ้น ทุกคันเล็งเห็นว่า หลังพระอาทิตย์ตก เวลาอย่างนี้ ความมืดจะเข้ามาเยือนเร็วกว่าปกติ เราจึงไม่รอช้า รีบควบเจ้าม้าศึก ทไรทัน พลัส ออกมาอย่างว่องไว เส้นทางกว่า 20 กม. ที่มีหลุมบ่อ และทางขรุขระ จึงเป็นเวทีทดสอบระบบช่วงล่างไปโดยปริยาย แต่ละคันใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที จากทุ่งแสลงหลวงออกมาสู่ด่านปากทางเข้า เป็นที่ประจักษ์ถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์และช่วงล่าง ทำได้ประทับใจ   พโรแกรมวันที่สอง ป้าตั๋ม รับบทดไรเวอร์ ส่วนผมเป็น โค-ดไรเวอร์ วันนี้เป็นการวิ่งใช้งานจริง ในเส้นทางจาก จ. เพชรบูรณ์ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพ ฯ เป็นการขับขี่แบบประหยัด ช่วงแรกระยะทาง 150 กม. ใช้ความเร็วเฉลี่ย 110 กม./ชม. ช่วงที่สอง ระยะทางประมาณ 100 กม. ใช้ความเร็วเฉลี่ย 90 กม./ชม. ฝ่าการจราจรที่มีรถติด มีสี่แยกสัญญาณไฟจราจรเป็นช่วงๆ แต่ละคันใช้น้ำมันในปริมาณที่ยอมรับได้ ตั้งแต่...….กม./ลิตร ถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอตัว สมน้ำสมเนื้อ ใช้งานจริงทำได้ขนาดนี้ ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะมาก และเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า เครื่องยนต์เล็ก แต่ทรงประสิทธิภาพตามสไตล์ มิตซูบิชิ !