โค้งอันตราย
สกัดดาวรุ่ง
เฮฮารับปีใหม่อีกครั้งกับยอดการขายประจำเดือนมกราคม ที่ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยอัตราการเจริญเติบโตถึง 38.0 % ขายกันได้ 68,398 คัน
ไม่อยากจะบอกว่า ที่ตัวเลขเดือนมกราคม มันดีขึ้นนะ มันต่อเนื่องมาจากงานมหกรรมยานยนต์ เมื่อต้นเดือนธันวาคม ปีก่อน ที่ยังส่งมอบรถกันไม่หมด ยอดมันก็เลยเหลื่อมมาจนถึงเดือนนี้ จริงๆ นะเนี่ย
ไปคุยเรื่องอื่นก่อนดีกว่า เดี๋ยวโม้มาก มีโอกาสพลาดสูงทีเดียวเชียว ใกล้หมดไตรมาสแรกสำหรับเมืองไทย ความร้อนระอุก็กลับคืนสู่วงการอีกครั้ง เพราะที่จริง ค่ายรถญี่ปุ่นนะ เขาปิดบัญชีกันสิ้นเดือนมีนาคม ถือเป็นรอบปีบัญชี ดังนั้น ยอดการขายเดือนมีนาคม จะต้องเป็นเดือนที่โหมกระหน่ำ ซัมเมอร์เซลส์ กันทีเดียว เพื่อสร้างยอดให้สวยหรู สำหรับรายงานบริษัทแม่
ผลพลอยได้ ก็มาเกิดกับผู้บริโภคนี่แหละ ที่เดือนมีนาคม นี่ เดินเข้าไปโชว์รูมรถยนต์ที่ไหน เป็นได้รับการต้อนรับอย่างดีเลิศ ประเสริฐศรี เชียวล่ะ
และสำหรับวงการรถเล็ก หรือน้องใหม่ อีโคคาร์ ที่ตอนนี้มีนำเสนออยู่เจ้าเดียว แถมจองรถแล้วก็ต้องคอยกัน 3-4 เดือน ก็ต้องรีบออกมาบอกทันที ยืนยันนั่งยันกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ตั้งแต่เปิดตัว นิสสัน มาร์ช จนถึงปัจจุบัน การตอบรับดีมาก ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 4-5 เดือน ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่การผลิตโรงงานที่บางนา กม. 21 มีข้อจำกัดผลิตได้แค่ปีละ 100,000 คัน โดย 20,000 คัน รองรับตลาดในประเทศ และอีก 80,000 คัน เพื่อตลาดส่งออก ดังนั้นจึงได้ตัดโควตาส่งออก มาเสริมความต้องการตลาดในประเทศก่อน
จากเดิมที่ นิสสัน มาร์ช ขายได้เฉลี่ยเดือนละ 2,000 คัน แต่จากการตัดโควตาครั้งนี้ จะทำให้ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน นิสสัน จะมี มาร์ช ขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือประมาณ 5,000 คัน เพื่อรองรับตลาด เจ้าตัวเล็กนี่ ตั้งแต่เปิดตัวมาจนถึงปัจจุบัน มียอดขายรวมแล้ว 2 หมื่นคัน พูดง่ายๆ ว่า ยอดการขายรถจนถึงสิ้นสุดเดือนมีนาคม ที่สามารถรายงานกลับไปยังบริษัทแม่ได้นั้น หรูหรา สมตามความตั้งใจทีเดียว
ส่วนยอดของรถที่จะส่งออกนั่น เลื่อนไปอีกเดือนก่อนก็ได้ บอกเมืองนอกเอาไว้ก่อน ว่าน้ำท่วมประเทศไทย ในหลายจังหวัด แถมมีการชุมนุมประท้วงหลายเรื่อง ทำให้มีปัญหาเรื่องชิ้นส่วน เอ๊ะ นี่มาสอนจระเข้ว่ายน้ำหรือเปล่าเนี่ย
ส่วนน้องใหม่ ที่ยังประแป้งแต่งตัวรออยู่ ทั้งที่ขึ้นเวที ไหว้ครูมา 2 งานแล้ว งานโชว์รถหนนี้ ก็ได้ฤกษ์ออกขายเสียที เรียกว่าเป็นการประเดิมปีงบประมาณ 2554 เดือนแรก คือ เดือนเมษายน เลยทีเดียว ลองดูข่าวของพี่เขาก่อนว่า
จากกระแสนิยมของผู้บริโภคทั่วโลก ที่มีต่อรถยนต์นั่งขนาดเล็ก อีกทั้งเป็นการตอบสนองต่อนโยบาย อีโคคาร์ ของรัฐบาลไทย ฮอนดา วางแผนที่จะผลิตและส่งออก รถยนต์นั่งขนาดเล็กรุ่น บรีโอ ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเขตอาเซียน และเชื่อมั่นว่าการผลิตและส่งออกรถรุ่นใหม่ๆ เหล่านี้ จะช่วยผลักดันยอดส่งออกของ ฮอนดา ในอนาคตอย่างแน่นอน แปลได้ว่า ถึงเวลาเลิกไหว้ครู ถอดมงคล สู้ศึกรถเล็กแล้ว เพราะตอนนี้คู่ต่อสู้ก็มีอยู่เจ้าเดียว แถมชื่อชั้นยังค่อนข้างห่างอีกต่างหาก ก็ต้องคอยดูกันว่ามวยเจนสังเวียน จะต่อกรกับมวยน้องใหม่ได้ขนาดไหน
ส่วนรถเล็กของค่ายอื่น ถึงแม้ว่าขนาดของรถจะใหญ่กว่า แต่ก็ต้องมีการป่วนตลาดกันมั่งล่ะ เอาเรื่องง่ายๆ แค่ดอกเบี้ย 0 % ก็นำเสนอออกมาแล้ว 2 รุ่น แถมบางยี่ห้อ ยังทำไก๋ ให้กุญแจ อิมโมบิไลเซอร์ เท่านั้นเอง ก็บอกว่าไมเนอร์เชนจ์แล้ว
เอาเป็นว่า พวกผมก็พยายามเชื่อ ก็แล้วกันหรืออย่างข่าวที่ปูดขึ้นมาว่า ค่ายรถแถวบางนา เลิกประกอบรถกระบะหัวเดี่ยว ตอนเดียว เพราะประเมินแล้วว่า ยอดขายน้อย ไม่คุ้มต้นทุนการผลิต ขึ้นราคาก็ไม่ได้ ประกอบเมกะแคบ ดับเบิลแคบ คุ้มกว่ากันเยอะ แถมต้องเพิ่มไลน์ประกอบรถน้องเล็ก ให้ทันกับความต้องการเสียก่อน เรียกว่า น้ำขึ้นให้รีบตักนะ
มันเป็นข่าวมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนแล้ว แต่เพิ่งมาปูดขึ้นมา เพราะดีเลอร์ไม่มีรถขาย เลยโวยวายกับบริษัทแม่ แต่เสียงมันดังไปหน่อย สื่อมวลชนเลยได้ยิน ก็เป็นข่าวไปตามระเบียบ รายการแก้ขวยก็กลายเป็นว่า คาดการณ์ตลาดผิด เพราะตามปกติในช่วงต้นปีนี้ ไซเคิลของตลาดรถยนต์มักจะชะงัก แล้วกลับมาดีดตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนมีนาคม ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม แต่พอมาถึงวันนี้ทุกอย่างตรงกันข้าม ตลาดรถยนต์ยังคงดีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี ทำให้เดาตลาดผิด ยิ่งระยะหลังสินค้าเกษตร รวมทั้งเศรษฐกิจโดยรวม ยังคงดีต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการซื้อรถมีค่อนข้างมาก ไม่เฉพาะแต่รถพิคอัพ
ก็แล้วแต่จะว่ากัน เพราะพวกกระผมที่ทำข่าวอยู่เนี่ย มันก็เห็นผลกระทบกันเป็นลูกโซ่ เพราะพอมองภาพโดยรวมแล้ว กลายเป็นว่า ยอดขายรถกระบะของ นิสสัน ร่วงลงไปอยู่ที่ 4 โดยมีค่าย มิตซูบิชิ แซงขึ้นมาเป็นที่ 3 ทั้งที่ มิตซูบิชิ เพียงแค่ไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็น 2.5 วีจี เทอร์โบ ยอดขายยังไม่น่าจะแซงขึ้นมาง่ายนัก แถมตัวเลขเดือนมกราคม ก็ยังไม่มีเครื่อง 2.5 วีจี ยังแซงไปง่ายๆ
จะมีเสียเปรียบกันก็แค่เครื่องเบนซิน ใช้แกสเป็นเชื้อเพลิง ที่ นิสสัน ยังไม่มีเท่านั้นเอง คนเขาซื้อหัวเดี่ยว เอาไปใช้เพื่อการขนส่ง แถมจำเป็นต้องซื้อทันทีด้วย เพราะพอราคาพืชผล หรือพืชไร่ หรือผลไม้ อะไรที่มันพุ่งสูงขึ้นมา กำไรต่อเที่ยวมันมากขึ้น ก็ต้องรีบซื้อ รีบขนกัน จะมัวคอยว่า หัวเดี่ยวของพี่ เดือนหน้าได้รถนะครับ ไม่มีหรอก
แต่ก่อนหัวเดี่ยว นิสสัน วิ่งบรรทุกกันเกลื่อน เดี๋ยวนี้กลายเป็นยี่ห้ออื่นหมดแล้วจ้า เพราะของพี่ไม่มีขายแถมอีกเรื่อง เป็นเรื่องสุดท้าย ก็เรื่องราคาน้ำมันดีเซลนั่นแหละ ที่ไม่มีผู้หาญกล้าปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ยังใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไปชดเชยราคาน้ำมันดีเซล บี 3 อีกลิตรละ 50 สตางค์ ทำให้ ดีเซล บี 3 ได้รับการอุดหนุนรวมเป็นลิตรละ 4 บาท เพื่อดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท ตามนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งการชดเชยครั้งนี้ จะทำให้มีเงินไหลออกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 217 ล้านบาท จากเดิมวันละ 194 ล้านบาท หรือรวมเป็นเงินทุนไหลออก 6,497 ล้านบาท/เดือน จากปัจจุบัน กองทุนน้ำมัน ฯ มีเงินสุทธิ 22,849 ล้านบาท ดังนั้น หากพยุงราคาน้ำมันดีเซลในอัตรานี้ต่อไป เงินกองทุน ฯ จะหมดภายใน 3 เดือน
ถึงตอนนั้น ก็ต้องหาเงิน หาทางมาชดเชยกันต่อไปอีกนั่นแหละ เพราะใกล้เทศกาลเลือกตั้งแล้ว ใครจะกล้าขึ้นราคาไทยแลนด์ โอนลี นะครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82811