แนะนำเพลง
THE JONESES "เรื่องจริงที่ขำไม่ออก เรื่องหลอกตลกร้าย"
THE JONESES
"เรื่องจริงที่ขำไม่ออก เรื่องหลอกตลกร้าย"
THE JONESES คือ ชื่อครอบครัวปลอมๆ ที่เป็นตัวแทนองค์กรแห่งหนึ่ง มีหน้าที่ช่วยผลักดันสินค้าให้ไปสู่กระบวนการโฆษณาแบบ "ปากต่อปาก" ซึ่งว่ากันว่าทรงพลังที่สุดแล้วในการประชาสัมพันธ์ มันก็แค่วิธีง่ายๆ แต่กระตุ้นความอยากซื้อได้ดีที่สุด นั่นก็คือ การส่ง "โมเดล-เซลเลอร์" เข้าแทรกซึมย่านหรูหราของคนมีอันจะเหลือกิน
สตีฟ โจนส์ คือ พ่อหลอกๆ ของครอบครัวนี้ (รับบทโดย เดวิด ดูโคฟนี ดารานำชายในเรื่อง THE X-FILES) สามีที่สุดแสนจะหวานฉ่ำกับภรรยา (รับบทโดย เดมี มัวร์) อันแสนสวยสมวัยไม่แพ้กัน ที่ต้องหวานซะขนาดนั้นก็เพราะเขาประเมินมาแล้วว่า ยิ่งอินเลิฟกันให้เพื่อนบ้านอิจฉามากเท่าไร ก็ยิ่งกระตุ้นยอดขายได้เท่านั้น
วิธีการมันก็แยบยลแบบตรงๆ อยู่ คนพ่อเล่นกอล์ฟเก่งไปออกรอบกับก๊วนก็แค่เลือกใช้ไม้ที่เป็นตัวแทน เสร็จแล้วก็หวดโชว์ พอฮือฮาเข้าหน่อยก็แค่ชี้ให้ดูว่าไม้นี่มันสุดยอดขนาดไหน แต่เขาก็ไม่ได้ขายเองหรอก เพราะขืนขายเองก็หมดความน่าเชื่อถือลงทันทีสิ แบบนี้เขาเรียกว่าติดกับดักได้ไหม ? ก็ของมันใช้แล้วเห็นผลกับตาแบบนี้ ?
ส่วนคนแม่ยิ่งง่ายแค่ใช้ชั้นเชิงในร้านทำผม (สถานที่รวมทุกข่าวสารสังคมผู้หญิง) ซึ่งคุณเธอเสิร์ชแล้วว่า "ฮอท" ที่สุดก่อนย้ายมาอยู่ บวกกับทรวดทรงผิวพรรณ และความงามแบบล้นเหลือ เธอจึงแค่สวมใส่เสื้อผ้าออกงานเฉิดฉาย (ซึ่งจัดขึ้นเองภายในบ้านเพื่อกระตุ้นยอดขายอีกนั่นล่ะ) แค่นี้เธอก็เกือบเป็น "ต้นแบบ" แห่งยอดนักขายแล้ว
ขบวนการครอบครัวปลอมๆ เขายังมีลูกชายลูกสาวไว้คอยกวาดต้อนลูกค้าชั้นดีในโรงเรียนอีกด้วย ที่เราเห็นจึงเป็นการเสนอสินค้าที่ดูน่าอิจฉา และมันก็น่าอิจฉาซะจนทำให้ใครคนหนึ่งเริ่มย่ำแย่ เพราะหลงลมไปกับการซื้อ และก็ซื้อตาม สุดท้ายก็ถึงขั้นอับจนหนทาง มีบ้านก็จะถูกยึด มีเมีย ก็พาลไม่เข้าใจ โถเมียจะรู้บ้างไหมว่า ก็เพราะหล่อนด้วยนั่นล่ะ จึงทำให้เป็นหนี้เยอะขนาดนี้
หนังมันจึงชักสนุก เพราะคนพ่อเริ่มอินกับบท และนึกอยากเป็นสามีจริงๆ การทำหน้าที่ "สื่อระหว่างสินค้าดีๆ กับลูกค้า" จึงมีชั้นเชิงขึ้นไปอีกขั้น แบบที่เราจะเซ็งเซลส์แมน และแผนการขายแบบน้ำไหลไฟดับไปเลย
แต่สุดท้ายเรื่องจริง เรื่องปลอม และการหลอกขายมันก็ถูกท้าทายโดยศีลธรรม บ้านปลอมๆ ที่เขาจ้างให้มาอยู่โชว์ รถปลอมๆ ที่เขาจ้างให้มาขับโชว์ เมียปลอมๆ ที่เขาจ้างมาให้ช่วยกันขายของ จึงเริ่มไม่สนุกซะแล้วกับคนที่เริ่มคิดได้ว่า นี่มันชักจะยังไงอยู่
แต่หนังเขาก็ทำให้เราดูสนุกยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อตอนเรื่องจะคลี่คลาย ดูแล้วนึกถึงหนังที่เขาแกล้งเสียดสีไว้อารมณ์ประมาณ "AMERICAN BEAUTY" นั่นล่ะ คือ มันประชดประชันทำท่าตลกจริงตลกหลอก แต่พอเอาเข้าจริงๆ...มันก็เรื่องตลกร้ายของตัณหานี่เอง
TRUE GRIT
"เหลี่ยมคมคนจริง"
TRUE GRIT แปลได้เข้าใจว่า กล้าหาญแน่วแน่ไม่ยอมแพ้แม้หนักหนาสาหัสกลางสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย ในเรื่องนี้เขาเล่าผ่านเด็กผู้หญิงอายุ 14 ปี ชื่อว่า แมทที รอสส์ ซึ่งคำว่า TRUE GRIT ก็ได้รับอานิสงส์ความเข้าใจแบบนี้มาจากนวนิยายชื่อเดียวกับหนัง ก็คนอ่านแล้วชอบ พอชอบมากๆ มันก็แพร่หลายในวงกว้าง พอเป็นวงกว้างความหมายของคำจึงได้รับการยอมรับ จนกระทั่งเขาเอาไปสร้างเป็นหนังตั้งแต่ยุคโน้นให้ จอห์น เวย์น เล่นเป็นตัวเด่น จนนำมาทำซ้ำในครั้งนี้ ด้วยฝีมือของ 2 พี่น้อง โคเอน ซึ่งกำกับเรื่อง NO COUNTRY FOR OLD MEN จนโด่งดัง ครั้งนี้เขาให้ เจฟฟ์ บริดเจส มาเล่น น้าแกก็เล่นได้ดีสมกับที่เด็กยอไว้ในเรื่องว่าแกเป็นผู้กล้าตัวจริง เรื่องของเรื่องก็คือ เด็กหญิงคนนี้ พ่อเธอถูกฆ่าตาย เธอก็เลยอยากนำตัวคนผิดมาแขวนคอ ก็มันเป็นเรื่องราวของชาวมะกันยุคที่ยังขี่ม้าควงปืน มีอินเดียนแดง และมีรางวัลนำจับ
ว่าแล้วเธอก็นั่งรถไฟไปรับศพพ่อ แล้วก็เริ่มตามหาคนผิด พอเจอนายอำเภอก็ถามว่าทำอย่างไรได้บ้าง นายอำเภอแก่พอเห็นเป็นเด็กก็ตอบกวนๆ ว่า จ้างนักล่าค่าหัวมามากนักหรือไง เธอก็เลยย้อนกลับว่า "ถามโง่ๆ หนูมาเพื่อจัดการเรื่องพ่อ แม่บวกเลขไม่เก่ง แถมสะกดคำว่าแมวยังยาก หนูอยากเห็นคนฆ่าพ่อถูกแขวนคอ" ว่ามาอย่างนี้นายอำเภอก็ไม่ขัดขวาง เพราะการเสนอรางวัลนำจับผู้กระทำผิด มันเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องยาก
จากนั้นก็เลยบอกว่าควรติดต่อใคร ก็แนะนำไป 3 คน เธอก็ถูกใจเอาตาแก่ รูสเตอร์ คอกเบิร์น คนที่ความกลัวทำอะไรความคิดไม่ได้ แถมยังไร้ความเมตตา ทั้งที่อีกคนก็เก่งกว่า แต่เพราะชอบจับเป็น แต่ก่อนที่หนังจะทำให้เราเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ที่เด็กหญิงอายุ 14 ปี จะจัดการสะสางด้วยตัวคนเดียวได้ หนังก็เลยให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์มีชั้นเชิงของเด็กก่อน ด้วยฉากการเจรจากับคนโน้นคนนี้ ซึ่งล้วนเขี้ยวลากดิน อย่างตอนที่เธอต่อรองเอาเงินชดเชยเรื่องม้าป่า ม้าแก่ และอานม้าของพ่อที่ตาย สุดท้ายเธอก็ทำได้แบบไม่มีกระเด็นหายซักแดง
เราคนดูจึงเริ่มเชื่อแล้วว่า เธอไม่ใช่เด็กที่พูดไปเรื่อยเปื่อย แถมยังเป็นคนพูดจริง และทำได้จริงด้วย
แล้วเรื่องราวของคนจริงก็ค่อยๆ ดำเนินขึ้น เราจึงได้ซึมซับเอาความคิดของคนจริง และคนไม่จริงไปด้วย เพราะในหนังเขาส่งตัวละครมาให้พ่วงไปกับการตามล่าครั้งนี้ คือ มีเด็กหญิง คนแก่ และคนหนุ่มขี้คุย ขี่ม้าไล่ตามกลุ่มโจรท่ามกลางภูมิอากาศเลวร้าย
คนจริงเลือกทำอย่างหนึ่ง ส่วนคนไม่จริงก็จะทำอีกอย่าง แต่หนังก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าใครเจ๋งกว่าใคร มันเป็นแค่เรื่องของคนกล้า ดูๆ ไปก็จะเข้าใจเองว่าเรื่องสไตล์ตรงๆ ดิบๆ แบบอเมริกันยุคโน้นทำไมถึงโด่งดัง ถูกทำเป็นหนังอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ได้เข้าชิงออสการ์หลายรางวัลด้วย (และเมื่อนิตยสาร คาร์ สเตริโอ ฉบับนี้วางแผง เราก็คงทราบแล้วว่าหนังได้รางวัลอะไรไปบ้าง)
ศิลปิน : ESPERANZA SPALDING
อัลบัม : THE CHAMBER MUSIC SOCIETY
แนวดนตรี : JAZZ
"JAZZ ชั้นดี ลีลาใหม่"
ESPERANZA SPALDING เป็นสาวน้อยที่สังคมคนฟังเพลง (รวมถึงคนคลั่งคนร้องเพลง) ทั้งชาวไทย และต่างชาติจับตามองกันพิเศษ ประการแรก เพราะเธอเพิ่งได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม BEST NEW ARTIST ของเวทีแกรมมี อวอร์ด 2011 ไปหมาดๆ
จนหลายเสียงเปรยไว้ว่าเธอเปรียบเหมือน NORAH JONES คือ แต่ก่อนก็มีผลงานและชื่อเสียงในระดับปกติ ค่อยเป็นค่อยไปไม่อื้ออึง แต่พอได้รับรางวัลนี้ปุ๊บ เธอจะดังเป็นประทัดวันตรุษจีน ส่งผลให้ยอดขายถล่มทลายกลายเป็น 20 กว่าล้านแผ่นตามศิลปิน JAZZ รุ่นพี่ไปติดๆ
ประการต่อมา เพราะบนเวทีแกรมมี ในการมอบรางวัลศิลปินหน้าใหม่ประจำปีนี้ มีศิลปินที่เข้าร่วมชิงรางวัลอีกด้วย อันได้แก่ MOMFORD & SUNS, FLORENCE + THE MACHINE, DRAEK และ JUSTIN BIEBER คนสุดท้ายนี่เอง ที่ทำให้สาวน้อย ESPERANZA SPALDING โด่งดังขึ้นไปอีกสเตพ เพราะ JUSTIN BIEBER มีสาวกเป็นสาวน้อยสาวใหญ่ รวมถึงสาวไม่แท้มากมายกระบุงโกย พอเจ้าหนูหน้ามนชวดรางวัลนี้ปุ๊บ บรรดาแฟนๆ จึงรวมพลคนคลั่งนักร้อง ตามรังควาน ESPERANZA SPALDING ถึงขั้นตั้งกระทู้ด่า ไม่ก็ปล่อยคอมเมนท์เสียดสีเจ็บๆ คันๆ ในหน้าเฟศบุค และทวิทเตอร์
แต่ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม เธอก็ยังคงเป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง และน่ากล่าวถึง
สาวน้อยคนนี้เกิดที่เมืองพอร์ทแลนด์ โอเรกอน ฝึกฝนดนตรีด้วยตนเอง เพราะครอบครัวค่อนข้างยากจน เป็นนักศึกษาในชั้นเรียนเบสส์ ที่พอร์ทแลนด์ สเตท ยูนิเวอร์ซิที ซึ่งในขณะนั้นเธอมีอายุน้อยที่สุดในชั้นเรียน ต่อมาย้ายไปเรียนที่เบิร์กลี มิวสิค คอลเลจ ที่บอสตัน ก็ยังขัดสนเงินทอง เพื่อนๆ ต้องช่วยกันส่งเสียเธอด้วยการจัดคอนเสิร์ทระดมเงินสนับสนุน แม้ว่าเธอจะได้รับทุนเรียนส่วนหนึ่งแล้วก็ตาม
ครั้งหนึ่งเธอจึงถึงขั้นท้อถอย จะย้ายตนเองไปเรียนสาขาอื่น แต่สุดท้ายก็ยังยืนหยัดบนหนทางนักดนตรี บางข่าวบอกว่าเพราะเธอได้นักกีตาร์ผู้โด่งดัง PAT METHENI มาห้ามปรามไว้ ในที่สุดก็เรียนจบ และได้เป็นอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของสถาบันแห่นี้ อีก 1 ปีต่อมาก็มีผลงานอัลบัมเดี่ยวชุดแรกชื่อว่า JUNJO ในปี 2006 และอัลบัม ESPERANZA ในปี 2008 มาถึงอัลบัมนี้เธอยังคงครองตนเป็นนักดนตรี JAZZ ชั้นดี แม้จะแปลกหูคนฟังกลุ่มใหญ่ไปบ้าง เพราะความที่เธอจริงจังกับการบรรเลงเพลง JAZZ ด้วยลีลาและน้ำเสียงซึ่งบางครั้งก็ฟังอื้ออึงอลหม่าน และบางครั้งก็ช่าง "ต่าง" จาก POP JAZZ ดาษดื่น
แต่สุดท้ายภาพรวมของทั้งอัลบัม ก็ต้องถือว่าเป็นเธอะ มาสเตอร์พีศในโลกแห่งเสียงเพลง การหยิบมาฟังไม่ว่าวันนี้ หรืออีก 10 ข้างหน้า ก็จะยังคงมอบอารมณ์ลึกล้ำด้วยดนตรี JAZZ แท้ๆ อบอวลด้วยเสียงเครื่องสายอย่างดับเบิลเบสส์ และการประมวลเสียงของเครื่องดนตรี (ที่เขาว่าชั้นสูง) จนการตีความเมื่อยามได้ฟังแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกันเลย
ศิลปิน : BIFFY CLYRO
อัลบัม : ONLY REVOLUTIONS
แนวดนตรี : ALTERNATIVE ROCK
"ROCK คือ การซึมซับทุกความบัดซบบนโลก แล้วก็โยกให้มันหัวหลุด"
ปรับที่นั่งของคุณให้กระชับถนัดถนี่ ก่อนที่จะใส่อัลบัมของ 3 หนุ่มเมืองสกอทเข้าเครื่องเล่น เพราะพวกเขาจะกรรโชกคุณด้วยเสียงกีตาร์ และกระหน่ำซ้ำด้วยเสียงกลอง ก่อนจะทุบจนน่วมด้วยเบสส์หนักแน่น และนี่คือ เสียงของอัลบัมที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุดในโลกของ ALTERNATIVE ROCK BIFFY CLYRO ถือกำเนิดเมื่อปี 1995 ขณะที่ SIMON NEIL มือเบสส์ของวง อายุได้เพียง 15 ปี ก่อนที่เขาจะพบพี่น้อง JOHNSTON คือ JAMES และ BEN "ณ จุดนั้นเราอาจจะฟังเหมือนวงอื่นๆ ทุกคนที่เคยได้ยินเรา อาจเห็นเงาทะมึนของ NERVANA แต่เราเพิ่งค้นพบบางอย่าง และเราได้ทำการบิดให้มันแปลกแตกต่างมากขึ้น เริ่มต้นคุณอาจเผลอคิดว่าเสียงของเราเหมือนวงที่คุณชอบ แต่หลังจากฟังจนจบคุณอาจจะเก็บเราไว้เป็นอีกวงหนึ่งที่คุณชอบก็ได้
3 หนุ่มเมืองน้ำเมาเขาว่าไว้อย่างนั้น เสร็จแล้วก็เริ่มปล่อยสตูดิโออัลบัมออกมาในปี 2002/2003/2004 และปี 2007 จนสุดท้ายเริ่มได้รับการจับตามองมากที่สุดในอัลบัม ONLY REVOLUTIONS ในปี 2009 ได้เข้าชิงรางวัลโน้นนี้มากมายจากหลายเวที หลายสถาบันการดนตรีใหญ่ๆ ชนะบ้างแพ้บ้าง แต่พวกเขาก็ชนะใจขา ROCK ที่นับวันจะหา ALTERNATIVE ดีๆ ฟังยากขึ้นทุกวัน บางคนถึงขั้นยกให้พวกเขาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน จะกลับมากอบกู้แนวเพลง ALTERNATIVE ปลุกวิญญาณขาโดดให้ผงาดง้ำค้ำโลกา สมคำว่า ROCK NEVER DIE อีกครั้งถามว่าเชื่อได้ไหม ?
ตอบได้เพียงสั้นๆ ว่าถ้าได้ฟัง พวกเขาจะทำให้คุณนั่งไม่ติด แค่เพียงครึ่งของครึ่งนาทีแรก เสียงดนตรีจะทำให้คุณเริ่มขยับก้นให้มันติดกับเบาะ พวกเขาจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดกับความชรา และความน่าเบื่อของกิจวัตรเพื่อความมั่นคงในชีวิต และมันอาจทำให้คุณเผลอนึกถึงเสื้อยืดเน่าๆ กางเกงยีนส์เก่าๆ พร้อมรองเท้าผ้าใบสีเปรี้ยว พอถึงเพลงที่ 3 คุณจะเริ่มย้อนถามตัวเองแล้วว่า พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันมา และจิตวิญญาณของเพลงแบบสะเทือนรูหูมันห่างหายไปจากโสตประสาทนานแค่ไหนแล้ว บางคนบอกไว้ว่า ROCK คือ การซึมซับทุกความบัดซบบนโลก แล้วก็โยกให้มันหัวหลุด นั่นคือ บางประโยคที่คุณจะต้องนึกถึง ถ้าเผื่อว่าคุณลองหามาฟัง
12 บทเพลงของการปฏิวัติ (เท่านั้น) ตามชื่ออัลบัม จะสั่นสะเทือนความกลัวของคุณ และทุกเส้นเสียงจะเป็นธงชัยในการลุกฮือ เสียงหัวใจจะเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเดิม คุณจะเริ่มเกลียดชังอำนาจมืดที่ครอบงำความกล้ามาตลอดชีวิต 3 หนุ่มวงนี้จะทำมากกว่าการเป็นกากเดนของ ROCK ยุคใหม่ และจะทำให้คุณเริ่มศรัทธาดนตรีแนวนี้อีกครั้ง...
เรื่องโดย : ปัญญ์
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : แนะนำเพลง
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82769