ร่มไม้ชายศาล
ทำลายศาล !
สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อชะตากรรมของบ้านเมือง คือ การทำลายกระบวนการศาลยุติธรรม ทั้งที่เกิดจากจงใจ เกิดจากความไม่เข้าใจ เข้าใจคลาดเคลื่อน หรือขาดความรู้ทางกฎหมาย
ขืนยอมให้มีการทำลายกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ คือ ฝ่ายตุลาการ จนกระทั่งบ้านเมืองไม่มีผู้ตัดสินชี้ขาด ข้อพิพาท ข้อขัดแย้ง ข้อโต้แย้งต่างๆ ชี้ขาดว่าการกระทำใดฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ต้องชำระสะสางอย่างไร ใช้มาตรการปราบปรามลงโทษอย่างไร ขณะที่เราไม่ได้อยู่ในยุคพระศรีอารย์ ปราศจากข้อขัดแย้ง แต่ยังเต็มไปด้วยปัญหาอันเกิดจากการอยู่ร่วมกันของผู้คน ไม่ว่าเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่โต ชนิดคอขาดบาดตายตลอดเวลา
บ้านเมืองตกอยู่ในอันตรายทันที เพราะไม่มีใครตัดสินปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเป็นที่ยอมรับ ในที่สุดก็ตัดสินกันเองตามอำเภอใจ ตามกำลังอำนาจเถื่อนที่มีอยู่ นำไปสู่ความรุนแรง การประหัตประหาร การล้างแค้นแก้แค้น เพื่อให้เป็นไปตามที่ตน หรือพวกของตนต้องการ กลายเป็นความป่าเถื่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
พัฒนาการของชุมชน หรือสังคมจากอดีตสู่ปัจจุบัน สิ่งสำคัญซึ่งทำให้สังคมนั้นๆ ดำรงอยู่ได้โดยสันติสุขประการสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ต้องมีองค์กรที่เรียกว่า "ตุลาการ" อันเป็นที่ยอมรับของส่วนรวม ไทยเป็นชาติหนึ่งในโลก ซึ่งได้ชื่อว่า มีกระบวนการทางศาลเข้าขั้นมาตรฐาน ประชาคมโลกยอมรับมาช้านาน และช่วยค้ำจุนให้ผู้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้โดยสันติพอสมควร ไม่อยู่ในภาวะไร้ขื่อแป ใครมีกำลัง มีอาวุธ ก็จัดการกับผู้ที่อ่อนแอกว่าตามอำเภอใจ ดังเช่นประเทศอื่นๆ ที่ยังอยู่ในภาวะเช่นนั้นอีกหลายประเทศ
น่าเป็นห่วงที่มีผู้คนจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มาก มีความพยายามมากบ้างน้อยบ้างในการทำลายกระบวนการทางศาลที่ช่วยค้ำจุนบ้านเมืองตลอดมา โดยยึดเอาความพอใจของส่วนตน พวกตน เป็นที่ตั้ง เมื่อมีการวินิจฉัยชี้ขาดคดีใด เรื่องใด ไม่เป็นที่พอใจ ก็ต้องการทุบทำลายระบบศาลไทยทิ้งไป โดยไม่ได้ยึดเอาส่วนรวม หรือประเทศชาติเป็นสำคัญ
นอกจากนั้นยังมีไม่น้อยที่เข้ามาโจมตีตุลาการโดยพาซื่อ เพราะเข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน หรือไม่เข้าใจกลไกทางกฎหมาย โดยอาศัยสื่ออีเลคทรอนิคส์ หรืออินเตอร์เนทเป็นอุปกรณ์ง่ายๆ แบบโหนกระแสหรืออยากแสดงออก ใช้เวลาว่างในทางที่เป็นอันตราย กลายเป็นการทำลายเสาหลักของบ้านเรือน ขณะที่ตนต้องอาศัยอยู่โดยไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างง่ายๆ สัก 3-4 ข้อ
เรารังเกียจผู้ทำผิดทางอาญาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อศาลตัดสินลงโทษจำคุกไปแล้ว รู้สึกว่า เฮ้ย แค่ 2-3 ปีเอง ไม่สาสมนี่หว่า ทำไปได้ไง ตั้งป้อมด่าศาลเสียๆ หายๆ โดยเฉพาะทางเนท (ด่าได้ซะด้วยเพราะฝ่ายปราบปรามเอาผิดข้อหาละเมิดอำนาจศาลได้ พากันละเลย) ทั้งๆ ที่ศาลจะลงโทษได้มากน้อยแค่ไหน กฎหมายระบุไว้โดยตรง เช่น ไม่เกิน 3 ปี ผู้พิพากษาไม่ว่าเป็นใครก็ตาม อยากวางโทษสูงแค่ไหนก็ตาม มากที่สุดต้องไม่เกิน 3 ปี ชาวบ้านอยากให้เชือดแรงกว่านั้น ต้องไปเรียกร้องฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายต่างหาก ไปด่าศาลมันไม่เข้าเรื่อง
การรอการลงอาญาก็อีกเรื่องหนึ่ง ต่อว่าต่อขานด่าศาลเป็นว่าเล่น ทั้งๆ ที่การรอลงอาญา หรือรอการลงโทษ ศาลไทยต้องว่าตามกรอบกฎหมายล้วนๆ แต่ละกระทงความผิด จำเลยต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ไม่เคยมีประวัติติดตะรางมาก่อน และเงื่อนไขอื่นๆ อีกมากมายหลายข้อ ศาลไทยไม่สามารถรอลงอาญาตามอำเภอใจ คดีใดมีการรอลงอาญา คู่กรณียังสามารถอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านได้อีกด้วย
กรณีที่จำเลยกระทำผิดหลายกระทงในคดีเดียวกัน เช่น ยักยอกทรัพย์หลายครั้งหลายหน ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี จำนวน 100 กระทง รับลดกึ่งเหลือจำคุก 50 ปี ไม่ว่าจะมีการปรับลดตามกฎหมายอีกหรือไม่ หากเข้าเกณฑ์ที่รอลงอาญาได้ตามกฎหมาย คดีอย่างนี้ศาลรอลงอาญา 1 ปีหรือ 2 ปีได้ทันที
ทีนี้ถ้าชาวบ้าน หรือชาวคีย์บอร์ดไม่เข้าใจข้อกฎหมาย ด่าทันที ศาลทำไปได้ยังไง ไม่มีมาตรฐาน หรือ 8มาตรฐาน ผู้ที่ไม่รู้ความอีกจำนวนหนึ่ง พลอยมันไปด้วย หารู้ไม่ว่า เกณฑ์การรอลงอาญา ถือเอาโทษในแต่ละกระทง คือ จำคุกไม่ 3 ปีเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาผลรวม หรือจำคุกตั้ง 50 ปี จึงรอลงอาญาได้ ขณะเดียวกันถ้าจำเลยโดนลงโทษจำคุกเบ็ดเสร็จแค่ 3 ปี 6 เดือน น้อยกว่า 50 ปีเป็นไหนๆ ยังงี้รอการลงอาญาไม่ได้
ข้อกฎหมายอย่างนี้คนไม่เรียนกฎหมาย ย่อมไม่รู้ และน่าจะนึกสักนิดว่า ตุลาการไม่ได้จับฉลากจากแผงข้างถนน รอลงอาญาได้ต้องมีกฎหมายรับรอง ไม่มีกฎหมายรองรับ ผู้พิพากษาติดตะรางแทนได้เหมือนกัน
การลงโทษหรือไม่ลงโทษ การตัดสินว่าผิดไม่ผิด ตุลาการไม่ได้ใช้แค่ลมปากเหมือนหัวหน้าหมู่บ้านหรือหัวหน้าเผ่าสมัยโบราณ ต้องมีเอกสารปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร ต้องแจกแจงข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมายและเหตุผลต่างๆ สรุปเป็นคำตัดสินอย่างชัดเจน และยังขึ้นอยู่กับองค์คณะอีกด้วย เมื่อบุคคลภายนอก หรือจะเรียกว่า ชาวบ้าน ไม่เห็นเนื้อหา หรือไม่สนใจเนื้อหาคำพิพากษา ไม่รู้ข้อกฎหมาย แต่ยึดเอาผลยึดเอาตูพอใจไม่พอใจเป็นที่ตั้ง แล้วออกมาด่ากราดศาล นี่คือ การดึงให้บ้านเมืองและสังคมตกอยู่ในภาวะอันตราย เข้าไปสู่ความป่าเถื่อน หมายถึงไม่เอากฎหมาย แล้วมันก็ต้องเอากฎหมู่ตัดสินปัญหาสารพัด
การพิจารณาคดีที่ขึ้นสู่ศาล ไม่ต่างจากการแข่งขันกีฬา ต้องยึดกติกา จึงจะแข่งขันกันได้ พิจารณาคดีได้ ไม่ใช่การเอาแพ้เอาชนะ ด้วยการใช้กำลัง หรือยกพวกเถียงกัน ด่ากัน ตีกัน การตัดสินคดีที่เกิดจากข้อผิดพลาดในการใช้กติกาจึงเกิดขึ้นเสมอ นอกเหนือจากการชี้ว่าใครผิดใครถูก ใครวิ่งเร็วกว่าช้ากว่า กฎกติกามีอยู่ในกฎหมายหลัก เช่น วิธีพิจารณาความต่างๆ หรือในตัวกฎหมายนั้นๆ อยู่แล้ว โดยฝ่ายนิติบัญญัติกำหนดขึ้นทั้งสิ้น ตุลาการผู้ใช้กฎหมายก็เป็นเหมือนกรรมการในสนามกีฬา ไม่ได้เป็นผู้กำหนดกฎกติกาขึ้นเองแต่อย่างใด อาทิ เช่น อายุความ เงื่อนเวลา วิธีการ หรือขั้นตอนต่างๆ ในคดีความ ฟ้องทำอย่างไร ให้การสู้คดีทำอย่างไร ระบุพยานทำอย่างไร สืบพยานทำอย่างไร ถ้าไม่กำหนดก็ประมาณว่า แข่งฟุตบอลแล้วใช้มือช่วย หรือแห่ลงไปทีมละ 50-60 คน มันก็แข่งกันไม่ได้ ศาลก็พิจารณาคดีไม่ได้ ของพรรค์นี้คนไม่รู้กฎหมาย ย่อมไม่เข้าใจ หรือเรียนกฎหมายมาแท้ๆ อาจพลาดได้เสมอ ถ้าไม่ระวัง เมื่อศาลเห็นว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดกติกา เช่น นำคดีที่ฟ้องเรียกร้องเงินพันล้าน หรือฟ้องขอให้ลงโทษคนร้ายในคดีอาญาถึงติดคุกติดตะราง รับสารภาพมาแท้ๆ ปรากฏว่าคดีขาดอายุความ หรือไม่นำคดีขึ้นสู่ศาลให้ถูกต้องตามวิธีการ เช่น คำฟ้องไม่สมบูรณ์ ไม่ระบุวันเวลากระทำผิด ใส่ชื่อผิด ไม่ทำตามขั้นตอนที่มีอยู่ถึงวันนัดไม่ไปศาล ไม่แจ้งเหตุให้ศาลทราบ ไม่มีพยานมานำสืบ เอกสารสำคัญ เช่น สัญญากู้ที่จำเลยปฏิเสธ ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ราคาเพียงไม่กี่บาท ศาลก็ต้องตัดสินยกฟ้อง ไม่ว่าคดีเล็กคดีใหญ่ เข้าทำนองตัดสินให้แพ้ฟาวล์ ชนะฟาวล์ เช่น ต่อยมวยสากล แต่ดันไปใช้เท้าเตะกระโดงคาง หรือกัดหูคู่ต่อสู้อย่าง ไมค์ไทสัน
ชาวบ้าน หรือผู้ที่ไม่อยากให้ยกฟ้อง ต้องเข้าใจเหตุผลการทำงานของศาล ขืนออกมาด่าศาล ก็เข้าข่ายทำลายศาล ซึ่งวันหนึ่งตัวเรา หรือญาติพี่น้องต้องพึ่งพา เช่น โดนโกง โดนทำร้าย โดนเบี้ยว ถามหน่อย ไม่พึ่งศาลแล้วจะทำยังไง มีกำลังไปจัดการเองงั้นหรือ ไปรีดเอาเงินเอาค่าเสียหายได้เองหรือ จัดการเองแล้วไม่เสี่ยงตะราง ไม่โดนโต้ตอบหนักกว่าเก่าหรือ ในเมื่อไม่มีศาล หรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจคอยจัดการให้ บ้านเมืองไม่ป่วนไปหมดยังงั้นหรือ
เขียนมาทั้งหมด ขอสาบาน แม้จะไม่ชอบสาบานว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง เพราะผมเกลียดการเมืองเข้าไส้อยู่แล้ว แต่เขียนเพราะห่วงใยต่อการโจมตีกระบวนการทางศาล หรือตุลาการ อันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของพวกเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่พูดแบบกลอนพาไป เพราะชั่วชีวิตของแต่ละคนในโลกปัจจุบัน ย่อมมีปัญหาได้รับความเดือดร้อนถึงขั้นที่จำเป็นต้องพึ่งศาลจนได้ โดยที่ไม่สามารถพึ่งหน่วยงานนับพันนับหมื่นแห่งที่มีอยู่ได้เลย นี่คือเรื่องจริงที่ต้องรู้ไว้ ถ้าขืนทำลายศาลทั้งที่จงใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ประเทศไทยก็ได้ชื่อว่าป่าเถื่อนทันที แล้วเราๆ ท่านๆ จะอยู่ได้หรือ อยากเป็นเหมือนเมกซิโก หรือประเทศป่าเถื่อนอื่นๆ อย่างนั้นหรือ
จะหาว่าไม่มีเรื่องเกี่ยวกับการใช้รถราเหมือนอย่างเคย ต้องเอาซะหน่อย เดี๋ยวโต้โผใหญ่ท่านขวัญชัยจะเหล่ใส่
คือ ยังงี้ครับ เท่าที่มีโอกาสไปตะลอนๆ นั่งรถอยู่ที่เมืองฝรั่งอย่างสหรัฐอเมริกา และแคนาดา สิ่งที่หนีไม่พ้นคือ โดด หรือวิ่งเข้าห้องสุขาบ่อย คือ เพื่อปลดเบา โดยเฉพาะที่นั่นอากาศหนาวเป็นหลัก ชวนให้เข้าห้องน้ำหยอกใคร
ปัญหา คือ พอถึงที่รถไม่ได้มีแต่เราเท่านั้น และต้องทำตามวิถี หรือวัฒนธรรมของเขา คือ เข้าคิว ไอ้การเข้าคิวรออย่างอื่นนานแค่ไหนพอจะกัดฟันรอได้ ไม่อยากรอก็ออกจากคิวได้เลย แต่รอปลดทุกข์ มันทุกข์ตั้งแต่เริ่มรอ และยิ่งรอยิ่งทุกข์ ยิ่งโดนลมหนาวโหมใส่ โฮ้ย อย่าบอกใคร กว่าจะไปยืนอยู่หัวคิวและเข้าห้องสุขาได้ ไม่รู้จะพูดยังไง จนนึกถึงแพมเพิสก็แล้วกัน
ที่สำคัญ คือ ตลอดเวลาของการเดินทาง การพักรถ เป็นแรมเดือน ผมไม่เคยเห็นฝรั่ง หรือคนที่นั่นซึ่งไม่ใช่ฝรั่ง รวมทั้งตัวผม และพรรคพวก ลงไปยิงกระต่ายข้างทาง หรือหลังห้องสุขา แม้แต่หนเดียว จึงอนุมานได้ว่า เขามีวัฒนธรรมที่ดี ที่ติว่าฝรั่งตึงตัง ไม่มีมารยาท น่าจะคลาดเคลื่อน เขาไม่ประพฤติอย่างบ้านเรา ซึ่งเห็นเป็นประจำ กึ๋ยย์... ผมเองก็ทำเหมือนกัน เจ้านาย
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82607