รู้ไว้ใช่ว่า
ถนนคนพิการ...
ถามว่า คนพิการ ในบ้านเมืองเรามีไหม มีแน่นอน เมื่อจำนวนประชากรใกล้หลัก 70 ล้านร่อมร่อผู้พิการย่อมมีไม่น้อย
ไม่ต้องอื่นไกล ลองไปด้อมๆ มองๆ คลีนิค "หมอกระดูก ซึ่งบางท่านคิดค่ารักษากันเอง ไม่กระดูกบางท่านกระดูกจริงๆ เหมือนชื่อ แต่ละแห่งกลับคนไข้ตรึม ไม่ต้องแต่งร้าน ปล่อยให้ป้ายเหล็กสนิมเขรอะ คนไข้ยังรอคิวแน่นขนัด รวยไม่รู้เรื่อง คือ รวยเงียบ นับเงินไม่ถ้วน ว่างั้นเหอะ จึงอนุมานได้ว่าคนพิการแขนขา ไม่นับพิการด้านอื่นๆ มีเป็นพะเรอ ถามต่อไปว่า เรามีมาตรการช่วยเหลือพอเพียง
หรือยัง เป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือยัง
เมื่อเขียนเรื่องในหนังสือรถ สิ่งหนึ่งที่ผมต้องเพ่ง คือ ถนนหนทาง ปรากฏว่าบ้านเราไม่สนเรื่องทางลาด เพื่อรองรับรถเข็นวีลแชร์สำหรับผู้พิการ ดังเช่นในประเทศที่เขาบรรลุเรื่องนี้แล้ว ชัดที่สุด คือ ทางม้าลายของเราเน้นให้คนเดินได้ลูกเดียว ระหว่างทางเท้ากับทางม้าลาย จึงไม่ยอมทำทางลาดต่างจังหวัดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ให้ความสนใจอย่างสิ้นเชิง หากที่ไหนทำไว้ ขออนุโมทนา อย่างเช่น ดินแดนลุงแซม และแคนาดา มาสไตล์เดียวกัน จัดทำทางลาดไว้ทุกแห่ง ให้คนพิการใช้รถเข็นข้ามถนนได้สะดวก สถานที่สาธารณะก็จัดไว้ให้ สถานที่ราชการก็มี เคยเข้าไปในที่สำคัญๆ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจเข้มทุกคนที่ผ่านเข้า/ออก ไม่ยกเว้น ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในนั้นหรือไม่ ก็ยังมีช่องทางให้รถเข็นโดยเฉพาะ
นอกเหนือจากนั้น การขึ้นตึกสูง ในสถานที่สำคัญๆ บางแห่ง ไม่เปิดโอกาสให้คนภายนอก หรือนักท่องเที่ยวใช้ลิฟท์ แต่คนพิการหรือใช้ล้อเข็น ได้สิทธิพิเศษ เข้าไปในไวท์เฮาส์ก็เช่นกัน ยังไม่หมด ที่จอดรถของที่สาธารณะ ของสถานที่ท่องเที่ยว ห้างร้าน สนามกีฬา เขาจัดที่จอดรถเฉพาะ ให้คนพิการหรือชาว
วีลแชร์ ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ ชนิดที่คนทั่วไปจอดรถแล้วต้องเดินซะไกล แต่ที่จอดรถพิเศษ จ่อเป้าหมายเลยครับ เขาเรียกที่จอดพรรค์นี้ว่า ที่จอดรถประเภท แฮนดีแคพ หมายถึง คนพิการได้แต้มต่อในการจอดรถกว่าคนปกตินั่นเอง
ห้องน้ำตามที่สาธารณะก็คำนึงถึงเรื่องนี้ ในห้างในร้านอาหารก็เช่นกัน ต้องกว้างพอที่จะรองรับผู้พิการไม่ใช่ห้องจิ๊ดเดียว แบบหวงเนื้อที่อย่างของเรา
มีปัญหาบ้างไหมสำหรับที่จอดรถ มีครับ คนไม่คำนึงถึงกฎ อาจฉวยโอกาสเข้าไปจอดเพราะสะดวกกว่าทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนพิการ หรือปลอมเป็นคนพิการด้วยการนั่งวีลแชร์ เห็นเขาป้องกันด้วยการเขียนป้ายบอกไว้ ปรับตั้ง 250 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือราวๆ 7,500 บาท ไม่น้อยเลย ข้อสำคัญเขาจับได้ เสียคนเสียชื่อเชียวล่ะ บ้านเราต้องปรับปรุงเรื่องนี้อีกเยอะ แต่เมื่อไรคงบอกไม่ได้ เพราะเรายังสนุกสนานกับการรบกันเองอย่างเมามันตามแรงยุของฝ่ายการเมือง ไม่มีเวลามาทำอะไรอีกแล้ว ถ้าจะทำหากเป็นเงินหลวง คงโกงกินเละเทะ มันเอาทั้งนั้น เซ็งไหมล่ะพี่น้อง
เรื่องนี้น่าสนใจ เกิดขึ้นเมื่อ นางอ่อนใจ เธอใจกว้างผสมใจอ่อน เมื่อมีข้อพิพาทเรื่องทางเดินกับนางโชคช่วย นางใจอ่อน ทำหนังสือประนีประนอมยอมความกับ นางโชคช่วย ตกลงเปิดทางในที่ดินของตนกว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาวเหยียดถึง 120 เมตร จากที่ดินของ นางโชคช่วย ออกสู่ถนนสาธารณะนางโชคช่วย เป็นฝ่ายถมทาง และยังได้ของแถม วางท่อน้ำเข้าที่ของตนอีกด้วย โดยเขียนไว้ด้วยว่า
จะไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมที่สำนักงานที่ดินนางโชคช่วย ถมทางยังไม่เสร็จ แต่ต้องหยุด เพราะ นางอ่อนใจ กับ นายกว้างขวาง ผู้เป็นสามีกลับตีหน้ายักษ์ ไม่ยอมให้ นางโชคช่วย ทำทางใช้ทางอีกต่อไป เข้าใจว่า นายกว้างขวาง นั่นแหละโดดขวาง หรือได้รับแรงยุจากใครไม่รู้ผลตามมา ศาลต้องออกเหงื่อกันเป็นแถบ ขณะที่ทนายความบางท่านได้สตางค์ใช้ไม่น้อย เมื่อนางโชคช่วย กัดฟันขึ้นศาล ยื่นฟ้อง นางอ่อนใจ บังคับให้ทำตามสัญญา ไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมตามที่ตกลงไว้ นายกว้างขวาง สามีของ นางอ่อนใจ ไม่ยอมอยู่เฉยๆ เข้าร่วมวงเป็นจำเลยด้วย จับมือกับภรรยาสู้คดี อ้างว่าที่ดินเป็นสินสมรส นางอ่อนใจ ไปทำสัญญาตามลำพังไม่ได้ อีกอย่างเมื่อไม่จดทะเบียนแต่แรก จึงไม่มีผล ต้องยกฟ้องของ นางโชคช่วย ไปเสีย
ศาลชั้นต้นพิจารณาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมตามฟอร์ม แล้วตัดสินให้ นางโชคช่วย ชนะคดี บังคับให้2 ผัวเมียเปิดทาง ไปจดทะเบียนภาระจำยอมซะโดยดี
นางอ่อนใจ กับนายกว้างขวาง ตั้งหลักสู้อยู่แล้ว จึงยื่นอุทธรณ์ ยกข้ออ้างอย่างที่ผ่านมา แต่ นางอ่อนใจ กับสามี ยังอ่อนอกอ่อนใจเหมือนเดิม เพราะ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ทั้งๆ ที่อยากให้พิพากษานั่ง เอ๊ย พิพากษากลับ ยกฟ้องของ นางโชคช่วย ไปเสีย
เรื่องยาวถึงศาลฎีกาจนได้ เมื่อ 2 ผัวเมียเดินหน้าค้าความต่อไป หวังนอคยกท้าย
ศาลฎีกาเลี่ยงไม่พ้น ทั้งๆ ที่คดีกองเป็นพะเรอ กัดฟันคว้าสำนวนคดีนี้มาพิจารณาหน้าละเหี่ยแล้วชี้ขาดออกมาว่า ตามพยานหลักฐานเอกสารของสำนักงานที่ดิน มารดาของ นางอ่อนใจจดทะเบียนยกที่ดินให้ นางอ่อนใจ เมื่อปี 2521 โดยไม่ได้ระบุให้เป็นสินสมรส ตามกฎหมายแพ่งที่บังคับใช้ ระบุว่าที่ดินตกเป็นสินส่วนตัวของ นางอ่อนใจ ข้ออ้างของ นางโชคช่วย กับคุณแม่และพยานอื่น ยืนยันว่า ยกที่ดินให้ก่อนหน้านั้นนานแล้วล่ะ โดยระบุให้เป็นสินสมรส ถือว่าแค่ลมปากลบล้างเอกสารของสำนักงานที่ดินไม่ได้ นางอ่อนใจ เซ็นสัญญาคนเดียวได้สบาย ไม่ต้องให้นายกว้างขวางเซ็นยินยอม สัญญามีผลสมบูรณ์
ข้อที่จำเลยอ้างด้วยว่า เมื่อไม่ได้ไปจดทะเบียนภาระจำยอมแต่แรก ถือว่าขัดกฎหมาย ไม่มีผลบังคับ ศาลฎีกาบอกว่า ไม่เป็นยังงั้นหรอกตัวเอง เป็นการตั้งสิทธิ์ไว้ในการยอมความ ซึ่งระบุว่าจะไปจดทะเบียนภาระจำยอมต่อไป จึงบังคับให้ทำตามนั้นได้ 2 ผัวเมียดิ้นไม่หลุดหรอกศาลฎีกาพิพากษายืน ให้ นางอ่อนใจ กับนายกว้างขวาง แพ้คดีเด็ดขาด 3 ศาล
อันที่จริงถือว่าโชคช่วย นางโชคช่วย ให้ได้ทางจริงๆ เมื่อแม่ของ นางอ่อนใจ ยกที่ดินให้ นางอ่อนใจ โดยไม่ได้ระบุอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ระบุเป็นสินสมรส ซึ่ง นางโชคช่วย ไม่รู้ข้อนี้แน่นอน ผลตามกฎหมายแพ่งที่ใช้อยู่ ให้เป็นสินส่วนตัว นางอ่อนใจ จึงนำไปทำอะไรก็ได้ตามลำพัง นายกว้างขวาง ผู้เป็นสามีหมดสิทธิ์โดดขวาง นางโชคช่วย จึงโชคช่วยเหมือนชื่อ ชนะคดีเบ็ดเสร็จ สร้างความหาวเรอให้แก่ นางอ่อนใจและสามี ไปอีกนานเท่านานก็แล้วกัน
นี่คือตัวอย่างแง่มุมทางกฎหมายที่น่าสนใจ และแง่มุมในการให้ความช่วยเหลือผู้พิการตามสมควร
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2536
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82441