DIY...คุณทำเองได้
มาเปลี่ยน กรองเชื้อเพลิง กันเถอะ
รถยนต์ทุกคันมีตัวกรองน้ำมันก่อนเข้าเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่มากับน้ำมันแต่น่าเสียดายที่หลายคนมักไม่ให้ความสำคัญกับมันเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้แพง และเปลี่ยนก็ไม่ยาก ขึ้นชื่อว่า "กรอง" มักถูกออกแบบให้ถอดเปลี่ยนได้ เพราะเป็นด่านแรกที่จะสกัดกั้นสิ่งสกปรกไม่ให้เข้ามาในระบบ ไม่ว่าจะเป็นกรองวัตถุอะไร ภายในตัวกรองจึงมีแต่ของเสียที่ไม่ต้องการ ฉะนั้นถ้าเราไม่ดูแล และปล่อยให้สิ่งสกปรกหมักหมมอยู่ตลอดเวลา นานไปกรองก็ตัน ดังนั้นเมื่อถึงระยะเวลาเปลี่ยนก็เปลี่ยนซะ
ทำไมต้องมีกรองเชื้อเพลิง ?
หลายคนคิดว่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีขายอยู่ทั่วไปนั้นสะอาด แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป ลองคิดดูเล่นๆ ว่าก่อนที่จะมาถึงรถยนต์คันเก่งของเรา ก็ต้องผ่านขั้นตอนหลากหลาย และเมื่อมาถึงที่ปั๊มน้ำมัน ก็ต้องถูกกักเก็บไว้ที่ถังขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ดินภายในปั๊ม ถังเก็บนี้มักถูกปนเปื้อนจากน้ำ ที่มาจากรอยรั่วใต้ดินของถังอยู่บ่อยๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลาแรมปี ความชื้นจะทำให้เกิดเป็นคราบต่างๆ สะสมอยู่บริเวณในถัง (โดยเฉพาะก้นถัง) ถ้าไม่ทำความสะอาดตามกำหนดเวลา คราบเหล่านี้จะยิ่งสะสมไปเรื่อยๆ เมื่อถูกดูดเพื่อเติมเข้าไปในรถ สิ่งสกปรกเหล่านี้ก็สามารถเข้าไปทำอันตรายเครื่องยนต์ได้ จึงต้องมีกรองเชื้อเพลิงเพื่อกักเก็บสิ่งสกปรกเหล่านี้ไว้
สมมติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ว่าถ้าน้ำมันตามปั๊มจะสะอาดหมดจด แต่ระบบในเครื่องยนต์ ก็ยังมีโอกาสเกิดสิ่งสกปรกได้เช่นกัน รถยนต์เมื่อใช้ไปประมาณ 6-7 ปี มักจะเกิดสนิมและคราบตะกอนในถังน้ำมันเชื้อเพลิง สนิมพวกนี้เกิดจากไอน้ำและความชื้นที่สะสมอยู่ในถัง เมื่อถูกดูดเข้าไปในปั๊มเชื้อเพลิงและหัวฉีด จะทำให้เกิดปัญหาการอุดตันของสิ่งสกปรกบริเวณปั๊มหัวฉีด และเครื่องยนต์ได้ รถยนต์สันดาปภายใน จำเป็นมากที่ต้องใช้เชื้อเพลิงสะอาด ปราศจากเศษฝุ่น และสิ่งแปลกปลอม ก่อนเข้าห้องเผาไหม้ ดังนั้นตัวกรองน้ำมันเชิ้อเพลิงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เราจึงควรเปลื่ยนตามระยะเวลาที่กำหนดอยู่เสมอ
ต้องเปลี่ยนตอนไหน ?
วิธีเชคที่ง่ายที่สุด คือ ดูจากคู่มือรถคันนั้นๆ ที่มักกำหนดระยะเวลาคร่าวๆ จากผู้ผลิต โดยทั่วไปแล้วระยะเวลาเปลี่ยนกรองเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ 40,000 กม. ขึ้นอยู่กับรถแต่ละคัน โดยอาจสังเกตจากพฤติกรรมการใช้รถของแต่ละคน เช่น ดูจากการเติมน้ำมัน ถ้าเติมกับปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ ที่ได้มาตรฐานเป็นประจำ ก็อาจเปลี่ยนตามระยะเวลาเดิมที่กำหนดได้ แต่ถ้าไม่ค่อยใส่ใจกับปั๊มน้ำมันนัก เติมปั๊มไหนก็ได้ถ้าอยากเติม! แบบนี้น่ากลัวหน่อย อาจต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น เพราะมีโอกาสเจอสิ่งปลอมปนในน้ำมันได้ง่าย หรืออาจสังเกตจากอาการต่างๆ ของรถก็ได้ เช่น เริ่มรู้สึกว่ารถกินน้ำมันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เวลาเร่งมักเร่งไม่ค่อยออก
ทั้งที่ตรวจเชคทำความสะอาดตามระยะตลอด เหตุการณ์ที่กล่าวมานี้ อาจเป็นเพราะกรองเชื้อเพลิง เริ่มตันแล้วก็เป็นได้ครับ ดังนั้นทางที่ดีที่สุด ควรตรวจเชคตามระยะที่คู่มือกำหนด เป็นดีที่สุดครับ
ถ้าไม่เปลี่ยนล่ะ ?
เมื่อกรองเชื้อเพลิงเริ่มตันแล้ว มักจะเกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ดังนี้
- น้ำมันเชื้อเพลิงไหลไม่สะดวก แรงดันไม่พอเพียงกับความต้องการของเครื่องยนต์
- เครื่องยนต์จะมีอาการสะดุด เนื่องจากเชื้อเพลิงมาไม่ทันความต้องการของเครื่องยนต์
- ปั๊มเชื้อเพลิงทำงานหนักขึ้น อายุการใช้งานสั้นลง
- หัวฉีดสกปรกเร็ว หรืออุดตัน เนื่องจากสิ่งสกปรกผ่านไปจนถึงหัวฉีด
- สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น เนื่องจากเครื่องยนต์เร่งไม่ออก เลยต้องเหยียบคันเร่งมากขึ้น
- เมื่อเร่งมากขึ้น เลยต้องจ่ายเชื้อเพลิงมากขึ้น
- เกิดสิ่งสกปรกในระบบมากขึ้น จนสิ่งสกปรกตกค้างอยู่นอกกรองเชื้อเพลิง
- ตัวกรองไอเสีย ทำงานหนักขึ้น
อุปกรณ์
1. กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
2. ประแจถอดกรอง
3. ไขควงแฉก และประแจเบอร์ 12
4. ภาชนะแก้วใส
5. ผ้าขี้ริ้ว
ขั้นตอนการเปลี่ยนกรองเชื้อเพลิง
1. ถอดปลั๊กไฟ ที่อยู่ด้านใต้ของกรองออกก่อน
2. นำไขควงขันคลายนอททั้งฝั่งท่อทางเข้า และท่อทางออกของหม้อกรอง แล้วดึงออกจากตัวกรอง (โปรดจำตำแหน่งท่อด้วย)
3. นำประแจเบอร์ 12 ไขนอทที่เหลือออกให้หมด
4. เมื่อคลายนอทออกจนหมดแล้ว ให้ยกตัวกรองออกเพื่อมาเปลี่ยน
5. ขันนอทหางปลาออก โดยขณะขันจะมีน้ำมันไหลออกมา ให้นำภาชนะที่เตรียมไว้มารองน้ำมัน
6. นำประแจมาขันในส่วนปลายของกรองออกก่อน ขันช้าๆ ระวังน้ำมันจะหกใส่
7. นำประแจถอดกรองมาถอดหมุนเพื่อถอดกรองที่เหลืออยู่ออก
8. เมื่อถอดเสร็จแล้วควรทำความสะอาดส่วนบนก่อน แล้วนำกรองชุดใหม่มาใส่ โดยหมุนเข้าพอตึงมือ
9. เมื่อใส่กรองใหม่แล้ว ให้นำส่วนปลายที่ถอดออกใส่กลับไปด้วย โดยหมุนให้พอตึงมืออีกเช่นกัน
10. นำกรองที่เปลี่ยนแล้วใส่กลับที่เดิม และขันนอทยึดกรองให้เรียบร้อย
11. ขันตัวลอคท่อกลับเข้าที่เดิม ต้องใส่ทางเข้า ทางออกให้ถูกต้อง โดยดูจากลูกศรที่ตัวกรอง
12. ต่อจากนั้นใช้มือกดปั๊มด้านบนของกรองเรื่อยๆ เพื่อสูบน้ำมันเข้ากรอง จนรู้สึกว่าหนืด
13. ลองสตาร์ทเครื่องยนต์ดู ถ้าเครื่องติดให้กดเร่งรอบสักครู่หนึ่ง ถ้าเครื่องไม่ดับเป็นอันเสร็จแต่ถ้าดับให้กดปั๊มใหม่อีกครั้ง
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : DIY...คุณทำเองได้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82436