ชีวิตอิสระ(4wheels)
เบิ่งวิถีเพื่อนบ้าน จุดหมายปลายทางที่ ปากเซ
คาราวานประจำปีของชาวสปิริทกลับมาอีกครั้ง ปีนี้เราไปประเทศเพื่อนบ้าน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีจุดหมาย คือ "ลาวใต้" การเดินทางครั้งนี้ มีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งสิ้น 15 คัน ได้ทั้งเพื่อนดีๆ ประสบการณ์แจ่มๆ กลับมาเพียบ
18-22 ตุลาคม 2551 เป็นช่วงเวลาที่ครูฝึก เจ้าหน้าที่ และนักเรียนโรงเรียนพัฒนาทักษะการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (SPIRIT OF THE 4x4 DRIVING SCHOOL) ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน จากการเดินทางที่มีทั้งปัญหา และอุปสรรค เลยได้ใช้ทักษะที่ร่ำเรียนมา แก้ไขสถานการณ์ให้ลุล่วงไปได้อยู่เสมอ ต่อไปนี้ คือ บันทึกการเดินทางดังกล่าว
วันแรก...สบายๆ
วันนี้เดินทางกันแบบฟรีรัน สบายๆ ชาวคาราวานนัดพบกันที่ เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อพักผ่อน 1 วัน ก่อนเดินทางข้ามแดนสู่ประเทศลาวในวันรุ่งขึ้น
วันที่สอง...มุ่งสู่สวรรค์ชั้น 7
เช้านี้ เรารับอรุณด้วยความกระฉับกระเฉง เพราะความสนุกกำลังรออยู่ หลังจากทานข้าวต้มกุ๊ยเป็นอาหารเช้า ทีมงานก็เข้ามาย้ำกับชาวคาราวานให้เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้
เมื่อได้เวลาล้อหมุน พวกเราออกเดินทางถึงบริเวณช่องเม็ก เพื่อทำเอกสารผ่านแดน ซึ่งทีมงานบางส่วนได้ล่วงหน้ามาจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อรถทุกคันพร้อม ล้อหมุนเข้าสู่ประเทศลาวมีการฉีดฆ่าเชื้อโรคที่ล้อและยางกับรถยนต์ทุกคันที่ข้ามฝั่ง เมื่อเข้าเขตประเทศลาว เราได้พบกับไกด์นำทางนามว่า ท่านอินที (คำว่า "ท่าน" ในภาษาลาว เหมือนกับการใช้คำว่า "คุณ" ในบ้านเรา)
พร้อมลูกทีม คือ โต้ และปัณณา ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ได้คอยอำนวยความสะดวกให้พวกเราตลอดการเดินทาง
บริเวณชายแดนลาว จะมีร้านค้าขายของปลอดภาษีให้พวกเราได้จับจ่ายแก้เมื่อย ที่นี่เราสามารถใช้เงินไทยได้ แต่ชาวบ้านจะทอนเป็นเงินกีบมาให้ เมื่อชอพพิงพอหอมปากหอมคอ คาราวานจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ วัดพูจำปาสัก โดยท่านอินที ไม่ลืมย้ำว่า "อย่าลืมขับรถอยู่เลนขวากันนะครับ" เส้นทางแรกที่เราใช้เป็นเส้นทางดินแดง แนวถนนลูกรัง ระยะทางประมาณ 19 กม.เป็นหลุมเป็นบ่อ และมีฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี ชาวบ้านที่ขี่รถจักรยานยนต์เลยได้ย้อมผมแดงฟรีๆ ส่วนทิวทัศน์ด้านข้างที่เห็น เป็นบรรยากาศแม่น้ำโขงที่กว้างใหญ่
เมื่อสุดทางลูกรัง ก็ได้เวลาอาหารเที่ยง อาหารลาวมื้อแรกของเราอยู่ที่ร้านอาหารสุจิตราริมแม่น้ำโขง แต่ก่อนที่นี่จะเป็นสถานที่พักแรมของเจ้าขุนมูลนายทางภาคใต้ของลาว ลักษณะอาหารจะเป็นแนวชาวบ้าน อร่อยอีกต่างหาก พลังงานเราเลยกลับมาอีกครั้ง หลังจากหมดแรงข้าวต้มตอนเช้า ตั้งแต่ 5 กม. แรกของถนนดินแดง
เราออกเดินทางกันต่อ จนมาถึงเทวสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจำปาสัก นั่นคือ วัดพูจำปาสัก
เทวสถานแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 2 ของประเทศลาว ซึ่งในอดีตที่ตั้งของวัดพูจำปาสัก เคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแหล่งอารยธรรมโบราณถึง 3 สมัยด้วยกัน คือาณาจักรเจนละ ถัดมาเป็นยุคของ อาณาจักรขอม สมัยก่อนเมืองนคร และสุดท้ายอาณาจักรล้านช้าง ได้เปลี่ยนเทวาลัยในศาสนาฮินดู ให้เป็นวัดในพุทธศาสนานิกายเถรวาทมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ภาพสลักพระตรีมูรติขนาดเกือบเท่าคนจริง ซึ่งหมายถึง เทพเจ้า 3 องค์ผู้เป็นใหญ่สูงสุดในศาสนาฮินดู อันได้แก่ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม
ตอนแรก ไกด์อธิบายสถานที่ให้ฟังระหว่างเดินขึ้นไปด้านบน ระหว่างทางขึ้นมีชาวบ้านขายดอกไม้ธูปเทียน เพื่อให้เราไปไหว้สักการะด้านบน ไกด์บอกว่า ถ้าจะให้ดีเราต้องเดินขึ้นไปให้สุดซึ่งด้านบนนั้น เรียกกันว่า สวรรค์ชั้น 7 บันไดแต่ละขั้นทั้งกว้างทั้งใหญ่ ต้องยกขาสูง ก้าวขายาวๆถึงจะข้ามไปได้ แต่ก็ไม่เกินความพยายามของชาวสปิริท แต่ละคนเหงื่อแตกพลั่ก แต่ก็สามารถขึ้นไปจนถึงสวรรค์ชั้น 7 กันได้ทุกคน ดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัวกันเต็มอิ่ม ก็ถึงเวลากลับลงมาอำลาเทวสถาน
เราเดินทางต่อเพื่อไปลงเรือเฟอร์รีข้ามแม่น้ำโขง มุ่งหน้าสู่ที่พัก รีสอร์ทผาส้วม เมื่อมาถึงทางรีสอร์ทต้อนรับด้วยการจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้ชาวคาราวาน หลังจากนั้นแยกย้ายสู่บ้านพักแต่ละคน ขอบอกเลยว่า รีสอร์ทแห่งนี้ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่อากาศเย็นโดยธรรมชาตินอนฟังเสียงน้ำตกเพลินๆ เผลอหลับไปไม่รู้ตัว
วันที่สาม...งานเข้า !
เช้าวันที่สาม เสียงน้ำตกปลุกพวกเราตื่น อากาศยามเช้าของที่นี่ สดชื่นมากๆ เราดื่มด่ำกับความงามของน้ำตกผาส้วมยามเช้ากันพอสมควร ก่อนจะลุกจากที่นอน เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนออกเดินทางบนถนนโฮจิมินท์ ซิที
เส้นทางถนนโฮจิมินท์ เป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ ทั้งยังเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ทิศเหนือของเมืองสาละวัน เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศลาว กับประเทศเวียดนาม ในช่วงสงครามอินโดจีน ระหว่างปี คศ.1968-1978 เป็นเส้นทางที่ใช้ลำเลียงขนส่งอาวุธ และกำลังทหารผ่านดินแดนลาว ไปสู่เวียดนามใต้ และออกไปสู่ราชอาณาจักรกัมพูชา
พวกเราเริ่มต้นการเดินทางด้วยการเติมน้ำมันกันที่ปั๊ม ก่อนจะเดินทางเข้าสู่เส้นทางสายประวัติศาสตร์ กับระยะทางประมาณ 91.78 กม. เส้นทางที่ใช้จะเป็นถนนลาดยางสลับกับดินแดง และทางหินเช่นเดิม เส้นทางที่ใช้ต้องข้ามผ่านลำน้ำ เมื่อเจอสะพานเก่าที่ใช้ไม่ได้เราก็ต้องลงลุยน้ำ โชคดีได้ชาวบ้านละแวกนั้น เดินลุยน้ำให้ดูก่อน ปรากฏว่า น้ำสูงประมาณเอวแต่เมื่อรถยนต์ลงไปจริงๆ ระดับน้ำขึ้นสูงเกือบท่วมกระโปรงหน้า เรียกความหวาดเสียวได้เล็กน้อย
เมื่อขับต่อมา ฝนตกหนักมาก ทางที่เป็นดินแดงเช่นนี้ เส้นทางจึงสาหัส กลายเป็นหล่มเลนเราเลยรับประทานอาหารกลางวันท่ามกลางสายฝนไปพลาง ข้าวเหนียว ไข่ต้ม และปลาหวานอาหารง่ายๆ คือ เสบียงเลี้ยงท้องของพวกเรา
เมื่อเราเดินทางกันต่อ วิ่งมาสักพัก จนถึงบริเวณที่สาหัสที่สุด รถสมาชิกคันนึงติดหล่ม อุปกรณ์ลากมีกี่เมตรขนลงมาหมด ซึ่งกว่าจะผ่านไปได้ใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมง แต่รถสมาชิกที่เหลือก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ละคนอาศัยทั้งแรงกาย ที่สำคัญแรงใจจากเพื่อนร่วมทาง คอยลุ้นเอาใจช่วย
มองนาฬิกาบอกเวลาที่ 5 โมงเย็น พวกเราคิดว่าความโหดร้ายของเส้นทางคงหมดแล้ว หนทางกลับที่พักยังอีกยาวไกล เพื่อนสมาชิกบางคนล่วงหน้าไปเล็กน้อยเพื่อทยอยลงแพข้ามฝั่งรอกลับที่พักที่ห่างออกไปอีกเกือบ 70 กม. เรานั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ฉาบแสงสีทองระเรื่อสวยงาม ขับรถเพลินๆ ได้สักพักเดียว ก็เหมือนงานจะเข้าอีกแล้ว
เพื่อนสมาชิกคันนึง ติดหล่มข้างทาง เพราะทางบริเวณนี้ บ่อโคลนเลนเป็นวงกว้าง ถ้าพลาดแล้วรถจะไถลตกข้างทางทันที รถสตาฟฟ์ 2 คัน กับรถสมาชิกอีก 1 คัน มาช่วยเหลือเป็นการใหญ่ซึ่งในระหว่างที่ช่วยเหลือกันอยู่นี้ เส้นทางตรงหน้าพวกเราจะกลายเป็นหลุมใหญ่พอที่จะทำให้รถเพื่อนๆ สมาชิกบางคันที่เหลือ อาจไปไม่ได้ เพื่อป้องกันงานเข้าอีกระลอก พวกเราที่ยืนอยู่
จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรหาไม้บริเวณข้างทางมาปิดหลุม พร้อมๆ กับขุดดินกลบหลุมให้ตื้นที่สุดและแล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม
เราเดินทางกันต่อ จนถึงแม่น้ำเซโดน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสะพานคอนกรีทขนาดใหญ่ที่ถูกทำลายเสียหายจากระเบิดในสมัยสงครามอินโดจีน แม่น้ำสายนี้กว้างพอสมควร ถ้าเราถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เราจะสามารถขับรถลุยลงไปได้ เหมือนเมื่อตอนเช้าที่เราข้ามมา แต่นี่ท้องฟ้ามืด สตาฟฟ์จึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะให้ลงไป จึงใช้แผนสำรอง คือ การข้ามฝากโดยใช้เรือแจว 4 ลำ ผูกติดกัน
แล้วใช้เครื่องยนต์เป็นตัวส่งกำลัง โดยข้ามไปทีละคัน ซึ่งแต่ละคันใช้เวลาเกือบ 20 นาทีและต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง
เสบียงที่อยู่ในรถยนต์แต่ละคันต่างถูกแบ่งสรรกับผู้ร่วมเดินทาง เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยกันยังคงอึกทึก แล้วรถผู้กล้าที่อาสาลงแพคันแรกก็เริ่มต้น ซึ่งกว่าจะลงไปได้ ทุลักทุเลพอสมควรหลายคนหวาดเสียว กลัวรถจะตกแพ และเมื่อคันแรกผ่านไป คันที่ 2, 3, 4 ก็ตามต่อไปเรื่อยๆซึ่งในรถจะมีแค่คนขับเท่านั้น ส่วนเด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ จะลงแพต่างหาก ข้ามไปก่อนเพื่อไม่ให้น้ำหนักเยอะเกินไป
หลังจากที่เด็ก ผู้หญิง และผู้สูงอายุ ข้ามฟากไป เวลาก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อก้มมองนาฬิกามันบอกเวลาที่ ตี 1 ครึ่ง เสียงพูดคุยหายไปทีละน้อย ทางทีมงานจึงเห็นว่า ควรพาเด็กๆ กลับที่พักไปก่อน เพราะต่างหลับใหลไปด้วยความอ่อนแรงอยู่บนรถ แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ กลับไม่มีใครไปด้วยเหตุว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอรอเพื่อนร่วมทางที่เหลืออีกนิดดีกว่า ได้ยินเพื่อนสมาชิกบางคนพูดว่า"เรามาด้วยกัน จะกลับกันไปก่อนได้ยังไง"
แล้วรถคันสุดท้ายก็ผ่านพ้นแพขึ้นมาอีกฝั่งจนได้ เสียงปรบมือแสดงความยินดี ดังลั่นริมแม่น้ำด้วยความตื้นตัน นาฬิกาบอกเวลา ตี 3 ครึ่ง เด็กๆ หลับกันหมด เราจึงรีบเดินทางกลับที่พักโดยด่วนอาหารเย็นยังไม่ตกถึงท้อง ณ ตอนนี้เรื่องกินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ การได้นอนหลับพักผ่อน คือสิ่งที่พวกเราถวิลหามากกว่า เมื่อถึงที่รีสอร์ท ก็ได้เวลารับอรุณ 6 โมงเช้าพอดิบพอดี
วันที่สี่...สู่ปากเซ
เช้าวันนี้ เหมือนกับว่าเรายังไม่ได้นอนกันเสียด้วยซ้ำ เมื่อตื่นมาประมาณ 9 โมงเช้า เรามีโพรแกรมเข้าเมืองปากเซ ระหว่างทางเราแวะที่ ชนเผ่ากะตู้ ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในจำพวกมอญคะแม(มอญเขมร) ที่อพยพมาจากทางตอนใต้ของจีน แต่ปัจจุบันมีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคใต้ของลาวซึ่งปัจจุบันมีพลเมืองประมาณ 17,024 คน เราใช้เวลาชมชนเผ่าอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ น้ำตกตาดฟาน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนดงหัวสาว ที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางชีวภาพ น้ำตกตาดฟาน เป็นน้ำตกแฝดที่สูงที่สุด ชมความงามกันพักใหญ่ๆจากนั้นออกเดินทางเข้าสู่เมืองแห่งความเจริญ...ปากเซ
เมื่อคาราวานวิ่งผ่านเข้าเมือง บรรยากาศช่างแตกต่างจากเมื่อวานยิ่งนัก สีสันยามเย็นของปากเซยามค่ำคืน ช่างคึกคักเสียนี่กระไร...คืนนี้เราเลี้ยงอำลาลาวใต้กันที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมปากเซบรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน พวกเราต่างคุยกันขรมถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ด้วยความขำขัน ทั้งที่เมื่อวานมันขำไม่ออก
เราส่งท้ายความสนุกที่นี่ หลายคนสัญญาว่า ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ปีหน้าฟ้าใหม่เรายังจะไปด้วยกันเสมอ
โซกดี...เมืองปากเซ **
เรื่องโดย : ปาจรีย์ ทัศนาญชลี
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2552
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/79141