โค้งอันตราย
เชื่อทางไหนดี
ปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารสามารถหลั่งไหลผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์เนท ที่ผู้ใช้ต้องเข้ามาค้นคว้า หาสิ่งที่ต้องการด้วยตนเอง หรือจะเป็นการส่งข้อมูลเป็นหัวข้อข่าวไปยังโทรศัพท์มือถือ ด้วยข้อความที่เป็นตัวอักษร เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารชนิดทันเหตุการณ์ก็ตาม
ทีนี้ ทางสื่อสารมวลชนเอง ก็มีการสัมภาษณ์ เสาะหาข่าว หรือสิ่งที่ผู้อ่านต้องการรู้ มานำเสนอกันเป็นปกติ
ปัญหาก็คือ ข้อมูลของสื่อสารมวลชน มักเป็นข้อมูลฝ่ายเดียว อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีข้อมูลเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่เริ่มต้นมาจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยค่า ในสหรัฐอเมริกา ที่ลุกลามไปในหลายประเทศ ทำเอาบริษัทการเงินต้องซวนเซกันไปในหลายประเทศ ทำให้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ต้องออกมาแถลงข่าวการลดการผลิต หรือการประกาศขายโรงงานผลิต ในหลายยี่ห้อ
ทีนี้ ทางสื่อสารมวลชน ก็เผยแพร่ข่าวสาร ว่าค่ายรถยนต์ในเมืองไทย ก็เตรียมตัวลดกำลังการผลิตลงตามพี่เบิ้มในสหรัฐ ฯ ที่ประสบปัญหา แต่ก็มีเพียง 2-3 ค่ายเท่านั้น ที่จะลดกำลังการผลิต
ค่ายรถที่เห็นชัดว่า มีการลดการผลิตอย่างชัดเจนขณะนี้ คือ จีเอม และ นิสสัน ซึ่งรายหลังได้ปรับลดฐานการผลิตลงไปก่อนหน้า ส่วนค่าย โตโยตา คาดว่าตัวเลขเป้าการผลิตใน 2 เดือนหลัง คงจะแจ้งให้ทราบเร็วๆ นี้ แต่คงกระทบน้อยกว่า เพราะตลาดหลักของ โตโยตา อยู่ในกลุ่ม "โอเชียเนีย" กลุ่มประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิค เช่นเดียวกับ มิตซูบิชิ ที่ตลาดหลักอยู่ในรัสเซีย หรือยุโรปตะวันออกส่วนค่าย ฟอร์ด มิตซู ฯ และ มาซดา ยังไม่ได้ปรับลดฐานการผลิตลงในช่วง 2 เดือนหลัง แต่คาดว่าภาพทั้งหมดจะเห็นชัดหลังเดือนมีนาคม 2552 เป็นต้นไป
เหตุผลในการลดปริมาณการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ลงมา มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ปัญหาภายในประเทศจากกรณีปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ทำให้คนขาดความเชื่อมั่น และจากปัจจัยภายนอก ที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่จะเกิดผลกระทบในปี 2552 ซึ่งขณะนี้เฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตลาดในประเทศ ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศลดลงไปแล้วร้อยละ 20 ดังนั้น จะเป็นการลดการใช้ชิ้นส่วนลงระหว่างเดือนธันวาคม ปี 2551 ถึงเดือนเมษายน ปี 2552 แล้วจึงจะพิจารณาผลกระทบอีกครั้ง
แต่ส่วนของ ฮอนดา เอง ก็แถลงข่าวใหญ่โต เรื่องขยายกำลังการผลิต โดยได้เปิดโรงงานประกอบรถ
ยนต์แห่งที่ 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เรียบร้อยแล้ว เพราะผลิตภัณฑ์ของบริษัท ฯ ได้รับความนิยมจากลูกค้า สั่งจองจนผลิตไม่ทัน ต้องรอรถนาน 1-2 เดือน เลยต้องรีบขยายโรงงาน พร้อมวางแผนให้ไทยเป็นศูนย์กลางของรถบางรุ่น นอกเหนือจากโครงการ อีโคคาร์ ที่กำลังเตรียมการประกอบภายในปลายปีหน้า
แต่พอหันไปมองสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่มีการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการประจำเดือนสิงหาคม จำนวน 1,206 ราย ครอบคลุม 39 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 83.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเดือนกรกฎาคม 2551 ที่อยู่ในระดับ 76.9
ต้องอธิบายเพิ่มเติมไว้เล็กน้อยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม มีค่าอยู่ระหว่าง 0-200 ซึ่งสามารถแปลความหมายได้ดังนี้
ค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม มีความเชื่อมั่นว่าภาวะการณ์ด้านนั้นๆ จะมีสภาพแย่ลง หรืออยู่ในระดับที่ไม่ดี
ค่าดัชนีอยู่ในระดับ 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม มีความเชื่อมั่นว่าภาวะการณ์ด้านนั้นๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรืออยู่ในสภาพทรงตัวในระดับเดิม
ค่าดัชนีอยู่ในระดับสูงกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม มีความเชื่อมั่นว่าภาวะการณ์ด้านนั้นๆ จะมีสภาพดีขึ้น หรืออยู่ในระดับที่ดี
การปรับตัวเพิ่มขึ้นนี้ ได้รับผลดีจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่เริ่มคลี่คลาย การบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวขึ้น และคำสั่งซื้อต่างประเทศที่ยังคงมีอยู่ ส่งผลให้ดัชนียอดคำสั่งซื้อยอดขาย และปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนพลังงานลดลง ทำให้ผลประกอบการปรับเพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น โดยดัชนีเพิ่ม 27 อุตสาหกรรม ลดลง 12 อุตสาหกรรม
พอมองลงในรายละเอียดพบว่า อุตสาหกรรมทุกขนาดปรับเพิ่มขึ้น จากการจัดการปัญหาต้นทุนการประกอบการ ที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกขนาด สามารถปรับตัวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ลักษณะการเพิ่มขึ้นของกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ปรับเพิ่มขึ้น น้อยกว่าอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง ได้รับผลกระทบจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เริ่มชะลอตัว
ส่วนดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 89.0 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2551 ที่อยู่ในระดับ 82.9 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ได้รับผลดีภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น บวกกับคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ ที่เริ่มเข้ามาเพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่
นั่นเป็นข้อมูลที่มาจากความเห็น การสัมภาษณ์ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งมาจากการสำรวจในภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ก็ลองฟังหูไว้หูแล้วกัน ว่าด้านไหนจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด อย่าเพิ่งเชื่อถือเพียงฝ่ายเดียว
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากนำเสนอบันทึกเอาไว้ เพราะตอนนี้น้ำมันดีเซลลดลงเหลือลิตรละแถวๆ 30 บาทแล้วก็ยังพอหายใจกันได้โล่งอกบ้าง เพราะค่าโดยสารรถเมล์ ก็เริ่มลดลงมาแล้ว ค่าเรือด่วนก็ลดลงแล้ว แต่ค่าข้าวแกงยังไม่เห็นจะลดลงตามราคาน้ำมัน
ก็เป็นเรื่องของ มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤติ ที่หลังจากผ่านมาครึ่งทาง ก็ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ลดลงจากร้อยละ 9.2 ในเดือนกรกฎาคม มาอยู่ที่ร้อยละ 6.4 ในเดือนสิงหาคม และร้อยละ 6.0 ในเดือนกันยายน โดยเฉพาะมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ตลอดจนการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการตรึงราคาแกสหุงต้ม แอลพีจี ในภาคครัวเรือน ส่วนภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม ก็กำลังพิจารณาปรับขึ้นอยู่
ส่วนมาตรการลดค่าใช้จ่ายน้ำประปาของครัวเรือน ครอบคลุมผู้ใช้น้ำครัวเรือนประมาณ 3.24 ล้านรายมาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าครัวเรือนประมาณ 10.75 ล้านราย
มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ให้บริการรถโดยสารประจำทางฟรี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 800 คัน ใน 73 เส้นทาง มีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 431,437 คน/วัน โดยก่อนมีมาตรการ 419,877 คน/วัน และมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น 3
ก็ยังเหลืออีกครึ่งทางในการดำเนินมาตรการจนสิ้นสุดระยะเวลา 6 เดือน ก็หวังว่า ค่าข้าวแกงควรจะลดลงมาบ้างนะครับ
ส่วนค่าครองชีพที่เพิ่มในบริษัทใหญ่ๆ จนคนเอามาทำเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์น่ะ คิดถึงหัวอกคนเงินเดือนน้อย ทำงานในบริษัทเล็กๆ กันมั่งแล้วกัน ว่ามันกระเทือนหัวอกหัวใจกันแค่ไหน ก่อนจะฟอร์เวิร์ดต่อช่วยกรุณาคิดถึงหัวอกคนอื่นบ้างก็แล้วกัน
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/79096