ชีวิตอิสระ(4wheels)
ส่งท้ายฤดูกาลแห่งสายน้ำ ที่น้ำตกห้วยคือบน
ในผืนแผ่นดินไทย ป่าตะวันตกจัดว่ามีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด เป็นแหล่งต้นน้ำชั้นดี มีทั้งสายธารและน้ำตก ผลิตผลจากธรรมชาติที่สวยงาม ผมกำลังจะพาคุณไปจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งได้รับฉายา"ดินแดนแห่งน้ำตก" แหล่งน้ำตกเกือบทั้งหมดเป็นหินปูน สายน้ำสีเขียวมรกต ประดุจสีน้ำทะเลฝั่งอันดามัน แวดล้อมด้วยป่าไม้ใหญ่ ร่มรื่น ทำให้สายธารของน้ำตกแถบนี้มีสีสันจับใจ ไม่เหมือนที่ไหนๆ ในประเทศ
แม้การเดินทางทริพนี้จะมีจุดหมายหลัก คือ การนำคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การเรียนการสอนไปมอบให้แก่โรงเรียนบ้านกุยแหย่ ในตำบลลิ่นถิ่น และโรงเรียนบ้านทุ่งเสือโทน ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ แห่งละ 2 เครื่อง และสำหรับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อีก 1 เครื่อง ซึ่งคอมพิวเตอร์ทั้งหมดได้รับมอบน้ำใจจาก บริษัท มาร์เคม-อิมมาจ อินเทอร์เนชันแนล จำกัด (MARKEM-IMAJE INTERNATIONAL) และจากน้องๆ นักศึกษาปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหงทั้งยังช่วยเชคเครื่อง และเซทโพรแกรมให้เป็นอย่างดี
ผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่จากการเดินทางครั้งนี้ คือ เส้นทางสู่น้ำตกห้วยคือบน ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนบ้านทุ่งเสือโทนนัก นักเดินทางทั้งมือเก่าและมือใหม่ต่างรู้ดีว่า เส้นทางแถบนี้ มีที่เที่ยวอยู่มากมายมากี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ภายใต้ร่มเงาแห่งป่าดิบ ย่อมเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ รอคอยวันเวลาให้นักเดินทางผู้รักธรรมชาติ บุกบั่นเข้าไปสัมผัส เพื่อหมายบันทึกเอาไว้ในความทรงจำ
ทริพนี้มีรถในขบวนทั้งหมด 9 คัน ส่วนใหญ่มาจากชมรมเจ้าพระยาออฟโรด ๔๖ ซึ่งปีนี้ออกทริพด้วยกันหลายครั้ง ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี กำหนดเดินทาง คือ เย็นวันศุกร์ที่ 26 กันยายน
คงเป็นประเพณีกันไปแล้ว ถ้าไม่ถึง สี่หรือห้าทุ่ม ล้อรถไม่ยอมหมุนกันสักที เมื่อออกจากป่าคอนกรีทได้เราแวะโฉบรับน้าเปี๊ยก ชาวเมืองกาญจน์ ที่ท่าม่วง มาด้วย ซึ่งก็รู้จักมักจี่กันมาหลายปี แกทำหน้าที่เป็นทริพลีเดอร์ให้ในครั้งนี้ หลังจากนั้นจึงเข้าปั๊มตุนน้ำมัน กว่าจะออกจากเมืองกาญจน์ได้ ก็ปาเข้าไปสองยามกว่าแล้ว
จุดหมายต่อไป คือ สถานีอนามัยบ้านกุยแหย่ ซึ่งทางตัวแทนของโรงเรียนและผู้ใหญ่บ้านได้มารอรับมอบคอมพิวเตอร์จากคณะเราอยู่ที่นี่ หลังจากมอบเสร็จ จึงเริ่มออกเดินทางต่อไปยังหน่วยป่าไม้ ก่อนถึงหมู่บ้านทุ่งเสือโทน ซึ่งเป็นที่นอนในคืนแรกท่ามกลางสายฝนที่โปรยปลายลงมาหนักและเบาบ้างตลอดเส้นทาง กว่าคณะของเราจะได้นอน เลยปาเข้าไปตีห้ากว่าแล้ว
ก่อนแสงแรกแห่งวันใหม่จะฉาบไปทั่วผืนฟ้า สายลมที่พัดเอาไอชื้น และความเย็นมาเป็นระลอก บวกกับเสียงกระแอมกระไอที่อยู่นอกเทนท์ ทำให้เปลือกตาของผมเผยอมองหาที่มา ครั้นจะล้มตัวลงนอนต่อก็ใช่ที่ เพราะเวลาในการเดินทางเริ่มงวดเข้ามาทุกที น้ำในกากำลังเดือดได้ที่ แก้วกาแฟแก้วเดิมถูกนำมาตระเตรียม
เมื่อมอบคอมพิวเตอร์ให้พี่อ้วน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในเขตนี้เสร็จ เจ็ดโมงเช้า เราเริ่มเคลื่อนขบวนสู่โรงเรียนทุ่งเสือโทน โดยมีอาจารย์ใหญ่ จตุรงค์ พรพุทธรักษา พร้อมด้วยเด็กนักเรียนมาคอยต้อนรับกันอย่างพร้อมเพรียง ใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนประมาณ 1 ชั่วโมง ภารกิจทั้งหมดก็จบลง จากนี้ไป คือ การพักผ่อนดื่มด่ำกับผืนป่าตามประสาของนักเดินทางที่รักการผจญภัย
ระยะทางจากโรงเรียนบ้านทุ่งเสือโทนไปปากทางเข้าน้ำตกห้วยคือบน ประมาณ 10 กิโลเมตรเศษ ดินที่ชุ่มฝนมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้เริ่มมีผลกับยางรถบ้างแล้ว ขบวนหยุดลงอีกครั้ง เพื่อให้เพื่อนสมาชิกปรับฟรีลอค เมื่อล้อรถเริ่มเคลื่อนอีกครั้งในโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงปากทางสู่ตัวน้ำตก ซึ่งมีป้ายไม้เก่าๆ ขนาดกว้าง 4 นิ้ว เห็นจะได้ เขียนด้วยสีน้ำมันสีขาวซึ่งตอนนี้ซีดจางจนแทบอ่านไม่ออก บอกระยะทางถึงน้ำตกห้วยคือบน 12 กิโลเมตรหลังจากเลี้ยวขวาผ่านป้ายบอกทางยังไม่ถึง 1 กิโลเมตร เสียงวิทยุคันหน้าก็แจ้งมาว่า "ทางลงชันยาวให้ขับห่างๆ กันหน่อย" เพราะเส้นทางเป็นทางลงยาวตัดลัดเลาะไปตามเนินเขาโอบล้อมด้วยป่าไผ่มืด
ครึ้ม พื้นดินเป็นดินแดงค่อนข้างแน่น แต่เมื่อเจอฝนมันจะลื่นมาก ดินแบบนี้ภาษานักเดินทางเขาเรียกว่า "ดินหนังหมู" ซึ่งแม้แต่จะเดินยังต้องระวังว่าจะล้มหงายหลังเอาก้นกระแทกพื้นรถในขบวนทยอยลงมาด้วยความระมัดระวัง เมื่อลงเนินเสร็จก็ต้องขึ้นเนินต่อ ซึ่งก็มีลักษณะไม่ต่างจากตอนลงมากนัก ตอนลงไม่ต้องพะวักพะวงมาก เพียงแต่ประคองพวงมาลัยบังคับทิศทางอย่าให้ท้ายรถลงก่อนเป็นพอ แต่ขาขึ้นนี้สิ ตอนแรกๆ ก็ดีอยู่หรอก พอล้อยางไม่มีสภาพเหมือนเช่นที่มันควรจะเป็น ดินสีแดงเข้ายึดพื้นที่ร่องยางจนแน่นเอียด เสียงเครื่องยนต์ก็เริ่มคำรามลั่น รอบเครื่องยนต์ถูกดัน
ให้สูงขึ้นเป็นช่วงๆ เพื่อให้ยางสลัดดินออกรถที่มีน้ำหนักเบาอย่าง แคริเบียน ไม่มีปัญหาในเส้นทางแบบนี้ สามารถผ่านพ้นไปด้วยดี แต่รถที่มีน้ำหนักมากอย่างรถพิคอัพ หรือเอสยูวี ก็ต้องเหนื่อยหน่อย หากหยุดชะงักกลางเนินเมื่อไร รับรองเป็นได้
วินช์ จะใช้เทคนิคเดินเบา หรือจะเร่งก็แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ขึ้น ซ้ำยังจะไปทำให้คันหลังเสียวอีก จากที่คิดว่าทางไม่มีอะไร (หากไม่มีฝน) ไม่มีโคลน ไม่มีลำห้วยให้ข้าม แต่พอมาเจอดิน และเนินแบบนี้ต้องยอม การวินช์แต่ละทีสายสลิงแทบหมด เพราะต้นไม้ใหญ่อยู่ห่างกันค่อนข้างมาก ซ้ำยังต้องเดินขึ้นเนินอีก เรียกว่าหอบกันทั่วหน้า เป็นรสชาติของการเดินทางอีกแบบที่มันดี
เส้นทางช่วง 6 กิโลเมตรแรก เป็นแบบนี้ทั้งหมด เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลงเนิน สลับกันไปตลอด สองข้างทางผ่านป่าหลายรูปแบบ ทั้งป่าไผ่ ทุ่งหญ้า และป่าโบราณ ที่มีต้นไม้สูงใหญ่ เด่นชัดเลย คือ ต้นจันทน์ผาผมเห็นตอนแรกยังนึกว่าต้นมะพร้าว
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็มาถึงหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยคือบน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวน้ำตกนัก เมื่อจัดการกางฟลายชีทตั้งแคมพ์กันเสร็จ ก็พอมีเวลาที่จะเดินลงไปชมความงามของน้ำตก เอกลักษณ์อีกอย่างของป่าแห่งนี้ คือ เมื่อเดินผ่านเข้าไปเราจะเหมือนคนแคระเลยทันที เพราะต้นไม้มีขนาดสูงใหญ่กว่าทั่วไป คล้ายป่าสมัยยุคไดโนเสาร์ ไม่เว้นแม้แต่ต้นบอน หรือต้นบุก ที่มีความสูงระดับ 2 เมตร ให้เห็นโดยทั่ว เดินๆ อยู่พลันให้นึกไปถึงไดโนเสาร์พันธุ์ที-เรกซ์ ให้เสียวสันหลังกันไปได้
ส่วนตัวน้ำตกเกิดจากลำห้วยไม่ใหญ่มาก ไหลผ่านหน้าผาหินปูนสีเหลือง ท่ามกลางราวป่า และพงไพรอันร่มรื่น อุดมด้วยสารพัดพืชพันธุ์ไม้ป่า แม้จะไม่มีแอ่งเหมือนน้ำตกทั่วไป แต่ก็สามารถเล่นได้ โดยการนั่งหรือยืนปล่อยให้สายน้ำตกลงมาใส่ตัวเรา เหมือนอาบน้ำฝักบัวขนาดใหญ่ เป็นการนวดตัวไปด้วยหรือจะเรียกว่าสปาจากธรรมชาติก็ไม่ผิดนักสำหรับนักเดินทางที่เคยเข้ามาเที่ยวที่นี่แล้ว มักอยากกลับมาอีกครั้ง เพราะการเดินทางไม่โหดมากนักใช้เวลาไม่นาน ยิ่งในช่วงไม่มีฝนยิ่งสะดวก น้ำที่นี่มีทั้งปี แต่มาก/น้อยตามฤดูกาล มีเวลาพักผ่อนได้นาน ไม่เหนื่อย มือใหม่หรือมือเก่า ก็ไปเที่ยวได้ไม่ยากเย็นเมื่อฤดูฝนกำลังเคลื่อนตัวเลยผ่านไป ทริพการท่องเที่ยวก็คงต้องปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาลน้ำตกห้วยคือบน คงเป็นการออกทริพส่งท้ายฤดูกาลแห่งสายน้ำ เพื่อหลีกทางให้ฤดูหนาวหลังจากนี้เราอาจพาขึ้นไปย่ำบนยอดดอย รับไอหนาวกันให้ฉ่ำปอด นั่งชมทะเลหมอกที่เลื่องชื่อทางภาคเหนือ เที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน หรือแปลงกายไปเป็นชาวเกาะกันบ้าง
แต่เมื่อคราใดที่สายน้ำได้หวนกลับมาใหม่ รอยล้อยางมัด เทอร์เรน คงได้กลับมาเหยียบย่ำโคลนเลนกันอีกครั้ง...ผมสัญญา
เรื่องโดย : ขุนเดช หมื่นลี้
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/79086