DIY...คุณทำเองได้
ดูแลรถอย่างไร ให้ตัวคุณสุขภาพดี ?
เดี๋ยวนี้คนเราใส่ใจสุขภาพตัวเอง และคนในครอบครัวกันมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กๆมักสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้สิ่งของ หรืออาหาร ที่คำนึงถึงความปลอดภัย (ไร้เมลามีน) และการจัดการบ้านเรือน หรือที่อยู่อาศัยให้มีความสะอาดสะอ้านปลอดภัยจากสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ
แหม...รู้ครับ ว่าที่กล่าวมานี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรถยนต์เลย แต่ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะอันที่จริงมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับคนที่มีแนวคิดที่ว่ามา หลายคนคิดว่าการดูแลทำความสะอาดรถยนต์คือ การล้าง ดูดฝุ่น และขัดเคลือบสี ก็จบ และคิดว่าทำบ่อยครั้งเข้า ก็จะทำให้ภายในรถยนต์ของเรานั้นสะอาดเอี่ยมอ่อง
ขอบอกได้เลยว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด ยกตัวอย่างง่ายๆ ลองสำรวจตัวคุณเองว่าในแต่ละปีคุณล้างแอร์บ้านกี่ครั้ง และแอร์ในรถยนต์ของคุณกี่ปีถึงจะล้างสักครั้งหนึ่ง บางคนใช้รถมา 5 ปีจนขายต่อ ก็ไม่เคยล้างเลยด้วยซ้ำ แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นล่ะ ? มันก็กลายเป็นที่หมักหมมของแบคทีเรียทั้งหลาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ ยิ่งครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆ ด้วยแล้ว มันเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียวครับ
หลายคนเวลาเอารถไปล้างตู้แอร์ ถึงกับผงะ เมื่อช่างถอดคอยล์เย็นออกมา เพราะมันเต็มไปด้วยคราบเชื้อราที่ดำทะมึน เต็มไปด้วยเศษผม ขนสัตว์ ใบไม้ ฯลฯ มากมายที่คาดไม่ถึง ลองคิดดูว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมันก่อตัวนานนับปี เชื้อโรคจะมากมายแค่ไหน เมื่อเปิดแอร์ ช่องลมที่เป่าเข้ามาหาโดยตรง มันจะส่งผลอะไรได้บ้าง แน่นอนเราก็จะได้เชื้อโรคเหล่านั้นเข้าไปแบบเต็มๆ
คิดง่ายๆ ว่าแอร์บ้าน ถ้าไม่ได้ล้างสักปี เราจะเห็นถึงความสกปรกที่ชัดเจน ขนาดแอร์อยู่ในห้องปิดที่เดือนๆ หนึ่งแทบจะไม่ได้เปิดหน้าต่างเลยด้วยซ้ำ แล้วแอร์รถยนต์ที่เราต้องเปิด/ปิดประตูเข้า/ออกบ่อยๆ รวมถึงช่องว่างต่างๆ ที่มองไม่เห็น ทำให้ฝุ่นควันต่างๆ เล็ดลอดเข้ามาอีกล่ะ ที่สำคัญก็คือพรมที่รองเท้า หรือผ้ายาง มันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่มาจากรองเท้าของเราเอง คิดดูว่าวันๆ หนึ่งเหยียบย่ำอะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นพื้นห้องน้ำสาธารณะ ตลาดสด เดินผ่านน้ำที่ไหลออกมาจากกองขยะ หรือเหยียบสิ่งปฏิกูลมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็จะมาติดอยู่กับพรมในรถของเรานั่นเอง เมื่อเปิดแอร์มันก็จะถูกดูดเข้าไปที่คอยล์เย็น แล้วมันก็จะไปเกาะอยู่แถวๆ
นั้น...อี๋ !
แหล่งหมักหมมเชื้อโรคที่ว่านี้ เราแทบไม่ได้ใส่ใจกันเลย อย่าลืมว่าโอกาสที่มันจะสกปรกหรืออุดตัน มีมากกว่าแอร์บ้านหลายเท่าตัว เพราะมันต้องทำงานในพื้นที่ที่มีฝุ่นมาก และตัวคอยล์เย็นก็มีพื้นที่น้อยมากๆ การอุดตันจึงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า
อยากถามว่าคุณล้างแอร์ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน ? ในหลายประเทศมีการวิจัยเรื่องความสะอาดภายในรถยนต์ พบว่ามันน่ากลัวกว่าที่คิดมากๆ ตู้แอร์ที่สกปรก แทบไม่ต่างอะไรกับพื้นห้องน้ำสาธารณะ พวงมาลัยที่จับอยู่ทุกวันก็ไม่ต่างอะไรจากราวจับบันไดเลื่อนในห้าง พรมในรถไม่ต่างอะไรจากพรมเช็ดเท้าหน้าศูนย์อาหาร เผลอๆ มันจะสะอาดกว่าด้วยซ้ำ เพราะมีการทำความสะอาดกันทุกวัน แต่ในรถนั้นมันหมักหมมนานกว่านั้นมาก
ทีนี้จะทำอย่างไร ให้ไกลจากเชื้อโรคร้ายเหล่านี้ หรือเพื่อป้องกัน และลดความเสี่ยงลงได้บ้าง
1. ทำความสะอาดทั่วไปภายในรถ ควรใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ฆ่าเชื้อโรค ตามพวงมาลัยคอนโซล แผงประตู หรือแม้แต่เบาะนั่ง เพราะนั่นเป็นที่อยู่อย่างดีของเชื้อโรค การทำความสะอาดและเคลือบเบาะนั่งด้วยน้ำยาเคลือบเบาะยังไม่เพียงพอ ในครอบครัวที่มีเด็กอ่อน สารที่เคลือบเบาะอาจจะมีผลต่อเด็กถ้าต้องสัมผัสโดยตรง ดังนั้นการจะเลือกใช้อะไรก็ต้องเลือกให้เหมาะสมคิดถึงคนรอบข้าง ก่อนที่จะคิดถึงความสวยงามของตัวรถ
2. หมั่นดูดฝุ่นบ่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณผู้โดยสารตอนหน้า เพราะตู้แอร์อยู่ตรงนั้น จึงยิ่งต้องดูแลให้มากๆ พรมหรือผ้ายาง ต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ ก่อนขึ้นรถควรตบเท้าเบาๆเพื่อทิ้งฝุ่นออกก่อนก้าวขึ้นรถ สำหรับพรมรองพื้นนั้นไม่ใช่แค่เป่าทำความสะอาดเพียงอย่างเดียวต้องซักบ้างตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะขนาดการเป่า ฝุ่นยังออกไม่หมดเลยด้วยซ้ำไปแม้การตากแดดนานๆ ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก ดังนั้นควรจะส่งซักตามระยะเวลาที่เหมาะสม
3. ล้างตู้แอร์ทุกปี บ้านเรามีฝุ่นเยอะ ยิ่งครอบครัวที่มีเด็กๆ ต้องระวังให้มาก อย่าคิดว่าการล้างแอร์รถยนต์ทุกปีเป็นเรื่องไร้สาระ ตอนถอดออกมาล้างลองก้มไปมอง คุณจะรู้ว่าที่กล่าวมาไม่ได้เกินเลยแม้แต่น้อย เชื้อร้ายเหล่านี้เติบโตได้ดีในที่ชื้น แล้วที่ชื้นๆ แฉะๆ ในรถก็คือ ตู้แอร์นี่เองทุกๆ 6 เดือนควรเอารถไปอบโอโซนบ้าง เพื่อฆ่าเชื้อ และแบคทีเรียต่างๆ
4. เอารถไปตากแดด วันไหนแดดดีๆ จอดรถตากแดดเปิดประตู และเอาพรมออกให้หมดตากแดดฆ่าเชื้อโรคบ้างก็ได้ อย่ากลัวว่าชิ้นส่วนอะไรมันจะเสียหาย เพราะวันธรรมดาที่คุณจอดตากแดด แล้วปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้นั้น อุณหภูมิภายในมันร้อนกว่ากันหลายเท่าตัวแต่ความชื้นมันไม่ระเหยไปไหน
แต่บางครั้งที่เจ้าของรถบางคน ไม่ค่อยรู้เรื่องการดูแลรักษารถยนต์เลย ส่วนใหญ่อาศัยให้ช่างหรือศูนย์บริการเป็นผู้ลงมือจัดการให้ จะว่าไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่เจ้าของรถต้องรู้ไว้บ้างเผื่อที่ว่าเมื่อเกิดความบกพร่องขึ้นมา พอจะเข้าใจได้ว่าเกิดจากอะไร
ต่อจากนี้จะขอยกตัวอย่างการดูแลรักษารถง่ายๆ ไว้ประดับความรู้ เพื่อที่จะได้ไม่ปล่อยให้เด็กปั๊มหรือช่างที่ไม่ชำนาญ ทำให้รถเราเสียหาย หรือทำให้เราเสียเงินโดยไม่ตั้งใจ บางครั้งเวลาเราเข้าปั๊มหรือเข้าไปล้างรถ จะมีช่างมาบริการ ดูแลเรื่องต่างๆ ให้ เพื่อเป็นการเอาใจลูกค้า ทำให้เราติดใจและส่งผลให้เขาสามารถขายของ หรือบริการอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น
แต่รู้ไหมว่าหลายแห่งเขาก็มีประสบการณ์น้อย บางแห่งก็หัวหมอ ทำให้เราเสียเงินโดยใช้เหตุและอาจทำให้มีอุปกรณ์เสียหายตามมา แล้วอะไรบ้างล่ะที่คุณควรรู้ ?
1. น้ำมันเครื่อง
ผมเคยเห็นคาตาหลายครั้ง เวลาเข้าไปเติมน้ำมัน แล้วปล่อยให้เด็กปั๊มตรวจเชคสภาพรถให้ที่ได้ยินบ่อยๆ คือ น้ำมันเครื่องขาด เจ้าของรถหลายคนก็งงๆ เพราะเพิ่งเข้าศูนย์มาไม่นานแล้วน้ำมันเครื่องมันหายไปไหนตั้งเยอะ
นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน น้ำมันเครื่องจะถูกส่งไปหล่อลื่นตามส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์โดยปั๊มน้ำมันเครื่องจะเป็นตัวสร้างแรงดันและส่งไป เมื่อดับเครื่องยนต์น้ำมันเครื่องต้องใช้เวลาสักพักในการไหลกลับลงมาสู่อ่างน้ำมันเครื่องจนได้ระดับตรวจเชค เมื่อดับเครื่องปุ๊บ แล้วช่างเชคปั๊บ ตอนนั้นน้ำมันเครื่องก็ยังคงค้างอยู่ตามส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ ไหลลงมาไม่หมดถ้าไม่รู้ข้อนี้ คุณก็จะเสียน้ำมันเครื่องฟรีๆ อีก 1 ลิตร เพื่อเติม แต่พอมาตรวจเชคตอนเครื่องเย็นหรือหลังจากที่ดับเครื่องสักครึ่งชั่วโมง น้ำมันเครื่องมันจะเกินระดับพอดีไปเยอะ
วิธีการตรวจเชคที่ถูกต้องนั้น ต้องทำหลังจากดับเครื่องยนต์ไปแล้วอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงบนพื้นราบเพื่อให้ถูกต้องแม่นยำ สำหรับการวัดน้ำมันเครื่อง หรือ ดิพสติค (DIPSTICK) นั้น ปลายด้านที่จุ่มอยู่ในอ่างกักเก็บน้ำมันจะมีขีดบอกระดับ อี (E) และ เอฟ (F) อยู่ กรณีที่ไม่มีตัวหนังสือกำกับเอาไว้อาจแสดงสัญลักษณ์ด้วยขีด หรือจุดที่ห่างกัน 2 จุด
ขีดด้านปลายสุดของก้านวัด ที่มีสัญลักษณ์ตัว อี ติดอยู่ คือ เอมที (EMPTY) หมายถึง
ระดับต่ำสุดของน้ำมันเครื่องที่ยังอยู่ในระดับปลอดภัย ส่วนขีดบน หรือขีด เอฟ (F) หมายถึงฟูลล์ (FULL) หรือน้ำมันเครื่องเต็มพอดี ฉะนั้นถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง 2 ขีดนี้ ถือว่าใช้ได้ถ้ายังไม่ลดไปถึง อี ก็ไม่ต้องไปทุกข์ร้อนอะไรนักหนา แต่จะให้สบายใจก็เติมให้เต็มขีด เอฟ ระวังอย่าให้ล้นก็แล้วกัน
2. หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง
เหมือนเรื่องตลก เวลาเราไปดูเมียงูตามตลาดนัด เพราะมันเป็นเรื่องแหกตา และอาศัยจิตวิทยาเพื่อเรียกเงินจากลูกค้าทั้งนั้น เคยเจอกับตัวเอง ซึ่งต่อเนื่องมาจากเรื่องการตรวจเชคน้ำมันเครื่องครั้งหนึ่งต้องขับรถทางไกล ปรากฏว่าน้ำฉีดกระจกหมด เมื่อเข้าปั๊มก็เลยให้เด็กเติม เด็กก็เลยขอเชคน้ำมันเครื่องให้ ด้วยความอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ก็อนุญาต เด็กก็เรียกช่างที่ถ่ายน้ำมันเครื่องมาดู
ซื้อหวยไม่ถูกก็อย่างนี้...เพราะเป็นไปอย่างที่บอกเลย ช่างบอกว่า "น้ำมันเครื่องขาดไปประมาณ 1 ลิตรนะ" เท่านั้นไม่พอ พวกเปิดฝาเติมน้ำมันเครื่องออก มันจะมีไอร้อนๆ ออกมาให้เห็น ซึ่งมันต้องมีอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ เมื่อช่างเห็นดังนั้นก็บอกเราเลยว่า "เครื่องหลวมแล้วนะวิ่งมาเท่าไรแล้วเนี่ย" ผมก็ตอบไปว่าแสนสี่ คราวนี้เข้าทางช่างเลย บอกว่าเครื่องหลวมแบบนี้ต้องเติมหัวเชื้อน้ำมันเครื่องเข้าไปด้วย พร้อมๆ กับเติมน้ำมันเครื่องเพิ่มอีก 1 ลิตร ผมเลยบอกว่าไม่ต้องเพราะรถยืมเขามา เดี๋ยวไปบอกให้เจ้าของจัดการเองแล้วกัน
ช่างก็ทำหน้าค้อนๆ แล้วเดินกลับไป เรื่องนี้มันเป็นจิตวิทยาในการขายของอย่างหนึ่ง เพราะมันมีเหตุผลที่เราเห็นกับตา และไม่อาจจะเถียงออก นั่นก็คือ น้ำมันเครื่องมันต่ำกว่าขีด เอฟ จริงๆแต่มันก็มีเหตุผลว่าอย่างที่บอกไปแล้วไง
ส่วนเรื่องเครื่องหลวม ที่ช่างบอกว่ามีไอน้ำมันเครื่องลอยออกมาให้เห็นตอนเปิดฝาเติมน้ำมันเครื่องนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติ รถใหม่ป้ายแดง พอจอดรถปุ๊บแล้วเปิด มันก็มีให้เห็น เป็นเพราะภายในเครื่องยนต์ความร้อนสูงมาก มันก็ต้องมีไอร้อนลอยเอื่อยออกมาอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่รู้ คุณอาจตกใจแล้วคิดว่ามันเป็นอย่างที่ช่างบอก สุดท้ายต้องเสียเงินค่าน้ำมันเครื่อง 1 ลิตร กับหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง 1 กระป๋องราว 400-500 บาท และเชื่อเถอะว่าเราจะรู้สึกว่าช่าง คือ ผู้แสนดี เพราะค่าแรงเขาก็ไม่คิดก็ขาย 2 อย่างที่ว่า ได้กำไรไปตั้งเยอะแล้วนี่
3. สนิมน้ำในหม้อน้ำ
เป็นอีกเรื่องที่เจอบ่อย ถ้าปล่อยให้เด็กปั๊ม หรือช่างอย่างว่าตรวจเชค เขามักจะบอกว่า ต้องล้างหม้อน้ำ เพราะมีสนิมในหม้อน้ำมาก โดยสังเกตจากถังพักน้ำของระบบระบายความร้อน หรือไม่ก็เปิดฝาหม้อน้ำออกมาให้เราดู เรื่องสนิมถือว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะถึงอย่างไรมันก็ต้องมีคราบสนิมให้เราเห็นบ้าง ถ้าเปิดฝาดูแล้วพบว่าคราบสนิมเกิดขึ้นในหม้อน้ำ เป็นคราบบางๆ ไม่ต้องตกใจเพราะมันเป็นเรื่องปกติ ปัญหาเรื่องสนิมหม้อน้ำส่วนใหญ่มักจะเป็นรถอายุเกิน 5 ปีขึ้นไปแต่สิ่งที่เด็กปั๊มพยายามบอกเราก็เพื่อต้องการให้มีการซ่อมบำรุงตามมาเพราะการเปลี่ยนถ่ายน้ำในระบบหล่อเย็นมันเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยเหมือนกัน ไหนจะต้องค่าน้ำยาล้างสนิมหม้อน้ำ ไหนจะต้องเสียค่าน้ำยาควบคุมอุณหภูมิในหม้อน้ำอีก และมีหลายครั้งช่างใช้น้ำยาล้างสนิมที่มีการกัดกร่อนสูงไป ทำให้หม้อน้ำรั่วก็มี หรือสารควบคุมความเย็นที่เติมเข้าไปใหม่มีคุณภาพไม่ดีพอ ระยะยาวทำให้เกิดคราบยางเหนียวในระบบ ผลที่ตามมา คือ ความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ เรื่องนี้ไม่น่าห่วง ลองศึกษาคู่มือประจำรถดู แล้วจะรู้ว่าต้องถ่ายเมื่อไร รถบางรุ่นนั้น
กำหนดไว้ว่าระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำในระบบระบายความร้อนนั้นมากกว่าแสน กม. ก็มี
การตรวจเชคปริมาณน้ำในระบบหล่อเย็นที่ถูกต้อง คือ เริ่มจากดูที่ถังพักน้ำ เพราะหม้อน้ำจะเป็นระบบปิด เมื่อเครื่องยนต์ทำงานเกิดความร้อนมากขึ้น น้ำก็จะเกิดการขยายตัว จึงจำเป็นต้องทำให้น้ำที่เกิดการขยายตัวระบายออกไปจากระบบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย น้ำที่เกิดการขยายตัวจะถูกดันผ่านฝาหม้อน้ำเพื่อไปเก็บไว้ที่ถังพัก
หลังจากดับเครื่องยนต์ อุณหภูมิของเครื่องยนต์ก็จะลดลง อุณหภูมิของน้ำในระบบหล่อเย็นและปริมาตรของน้ำ ก็จะลดลงด้วย และหม้อน้ำที่เป็นระบบปิดสุญญากาศก็จะดูดเอาน้ำที่ถังพักผ่านฝาหม้อน้ำกลับเข้าไปในระบบ ดังนั้นน้ำในถังพัก ต้องเติมแค่ขีด แมกซ์ (MAX) หรือครึ่งหนึ่งของความสูงถังพักเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเวลาเครื่องถึงอุณหภูมิทำงานมันจะล้นเลอะเทอะ
ต่อมาเป็นการเปิดฝาหม้อน้ำเชค เพราะการดูที่ถังพักอย่างเดียวไม่เพียงพอ บางครั้งฝาหม้อน้ำรั่วน้ำก็จะระเหยออก ไม่เข้าไปที่ถังพัก ถ้าตรวจที่ถังพักแล้วน้ำอยู่ในปริมาณที่พอดี แต่เมื่อเปิดฝาหม้อน้ำออก พบว่าน้ำขาด แสดงว่าเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน ต้องตรวจสอบต่อไปว่าเป็นที่ฝาหม้อน้ำหรือทางเดินน้ำไปยังถังพัก
เรื่องต่างๆ ที่ว่ามานั้น คุณไม่จำเป็นต้องลงมือทำก็ได้ แต่ขอให้รู้ไว้ เพราะมันมีผลโดยตรงต่ออายุการใช้งานโดยรวมของรถคุณ และจะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่คอยเอารัดเอาเปรียบไงครับ
เรื่องโดย : พหล ฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : DIY...คุณทำเองได้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/79085