รู้ไว้ใช่ว่า
เจอรถพ่วง
สรุปหมักไม่หมัก...เอ๊ย ! ไม่เอาเรื่องการเมือง เซ็งวุ้ย สรุปพวกผลิตน้ำมันขายก็ยังหาทางบีบชาวเราให้หน้าเขียว ไม่ยอมให้ราคาน้ำมันลดต่ำลงง่ายๆ ขณะเดียวกันผู้ที่เอาน้ำมันมาขายให้ชาวเรา ก็อย่างเคยราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงทีไร แกล้งทำเซ่อ ไม่ยอมลดราคาหน้าปั๊มลงง่ายๆ แต่ถ้ามีข่าวน้ำมันดิบขึ้นราคาไม่ทันไร กระเหี้ยนกระหือรือ รีบขึ้นราคาขายปลีกให้คนไทยหน้าเหลืองเป็นขมิ้นนี่คือความเห็นแก่ได้
ขอภาวนาให้คนไทยที่กำลังสร้างรถพลังงานไฮโดรเจน ประสบความสำเร็จโดยเร็ว เพื่อให้ไทยเป็นชาติแรกที่ได้ใช้รถไม่ต้องพึ่งน้ำมัน ให้พวกเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านหน้าเหลืองแทน
เอาละ มาว่ากันถึงคดีความอย่างเคย
ในบ้านเราการขับรถชนิดหนึ่งคือ รถพ่วง ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสภาพถนนหนทางส่วนใหญ่ยังไม่เพอร์เฟคท์ ขณะเดียวกันโชเฟอร์ของเราแต่ละคนก็เก่งกาจ สามารถขับรถพ่วงใหญ่โตยาวเฟื้อยฉวัดเฉวียนได้อย่างสบาย กลายเป็นเรื่องหวาดเสียวแก่รถอื่น เกิดเหตุแต่ละที ถ้าบอกว่าเจอกับรถพ่วง ส่วนใหญ่เละ รอดยาก
ไม่เชื่อดูอย่างคดีนี้ก็แล้วกัน เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ นายดวงค้ำ บรรจงขับรถพิคอัพซึ่งตกแต่งอุปกรณ์จิปาถะที่ไม่จำเป็นเข้าไป เสียเงินหลายสตางค์ มุ่งหน้าไปตามถนนเส้นหนึ่ง อันเป็นถนนดั้งเดิมในบ้านเรามีแค่ 2 ช่องทางจราจร
ช่วงนั้นเป็นทางขึ้นเนิน แถมฝนตกถนนลื่นอีกต่างหาก แต่ นายดวงค้ำ เหยียบคันเร่งพารถไปข้างหน้าเพื่อขึ้นเนิน ด้วยความเร็วพอประมาณ
จังหวะนั้นเอง นายเจนจัด ขับรถบรรทุกมีพ่วงลากมาด้วยยาวย้วย แล่นสวนทางขึ้นเนินเช่นกันแล้วเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจนได้ นายเจนจัด นึกอย่างไรไม่รู้ เหยียบเบรคเข้าให้ รถพ่วงยาวราว 12 เมตรจึงเป๋ และขวางถนน นายดวงค้ำ ขับรถสวนทางมาในระยะใกล้ เลยตาเหลือก พยายามเบนรถออกทางซ้ายสุดเพื่อหลบ พร้อมทั้งเหยียบเบรค แต่ไม่ทันการณ์ รถพิคอัพปะทะรถพ่วงอย่างจัง เลขที่ออก คือ รถพิคอัพเละ นายดวงค้ำ ก็เละ แม้จะชื่อ ดวงค้ำ แต่ไม่รอด ตายหยังเขียด
ใครต่อใครต้องมาวุ่นวายกับงานนี้ อาทิ ตำรวจ มูลนิธิเก็บศพ หมอในโรงพยาบาลชันสูตรศพออกใบรับรองแพทย์ อัยการ จนกระทั่งถึงศาล
สาเหตุที่เรื่องไปถึงศาล ให้ผู้พิพากษาออกเหงื่อ เพราะฝ่ายรถบรรทุกซึ่งเป็นขององค์การแห่งหนึ่งเบี้ยวไม่รับผิดชอบ สร้างความหาวเรอให้แก่ บริษัท แน่ใจประกันภัย จำกัด ซึ่งรับประกันรถพิคอัพเอาไว้แบบชั้นหนึ่ง
บริษัทประกันรับผิดชอบจ่ายตามสัญญาประกันให้ทางรถพิคอัพไปแล้ว จึงแบมือเรียกร้องจากรถพ่วงเมื่อไม่เป็นผล เลยให้ทนายฟ้อง นายเจนจัด เป็นจำเลยที่ 1 องค์การ
ผู้เป็นเจ้าของรถ และนายจ้างของนายเจนจัด เป็นจำเลยที่ 2 อ้างว่าฝ่ายรถพ่วงประมาท บริษัทประกันผู้รับช่วงจากรถพิคอัพที่ทำประกันจึงมีสิทธิ์เรียกร้อง ให้จำเลยทั้ง 2 จ่ายค่าเสียหาย 3 แสนบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย
นายเจนจัด ไม่โผล่หัวไปศาล ขาดนัด ตามแบบฉบับโชเฟอร์ทั้งหลาย
องค์การซึ่งเป็นเจ้าของรถ ตั้งป้อมสู้คดีด้วยความชำนาญ ให้การว่ารถพิคอัพประมาทด้วย ขับรถเร็วจึงเบรคไม่ทัน รถพิคอัพที่เสียหายแค่ไม่เกิน 1 แสนบาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันจ่ายค่าเสียหาย 283,980 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามที่พิสูจน์ให้ศาลเชื่อได้ว่าเสียหายเท่านั้น
บริษัทประกันพอใจตามที่ศาลชั้นต้นตัดสิน
จำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของรถไม่พอใจ อยากให้ยกฟ้อง หรือจ่ายแค่น้อยนิด จึงยื่นอุทธรณ์ อ้างว่ารถพิคอัพประมาทเท่าๆ กัน งานนี้ต้องเจ๊า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
องค์การซึ่งเป็นเจ้าของรถยังต่อความยาวสาวความยืดด้วยการยื่นฎีกา ยกข้ออ้างอย่างเดิม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้ด้วยความเบื่อหน่าย เบื่อเพราะมันหาทางยื้อกันทุกเรื่อง แล้วชี้ขาดออกมาว่า
แม้จะได้ความว่า นายดวงค้ำ ขับรถพิคอัพด้วยความเร็วราว 70-80 กม./ชม. ก็จะมาโยนบาปว่านายดวงค้ำ ที่ตายไปแล้วประมาทร่วมด้วยคงไม่ได้ ในเมื่อเขาขับมาในทางของเขาตามปกติ งานนี้ศาลเชื่อว่ารถพ่วงต้องเร่งสปีดพอสมควร เพราะทางขึ้นเนิน เมื่อรถพ่วงเบรคขณะที่ฝนตกถนนลื่น ทำให้รถพ่วงที่ลากมายาวตั้ง 12 เมตร ตุปัดตุเป๋เสียหลัก ขวางถนน นายดวงค้ำ ผู้เคราะห์ร้ายพยายามดึงรถออกทางซ้ายแต่ไม่พ้น เกิดการเฉี่ยวชนขึ้นมา ต้องถือว่ารถพ่วงประมาทฝ่ายเดียว จะมาอ้างว่า นายดวงค้ำประมาทด้วย แล้วลดค่าเสียหายลง มันไม่ได้
สำหรับค่าเสียหายที่จำเลยอ้างว่าเรียกมาเกินเลย อย่างมากแค่ 1 แสนบาท ศาลบอกว่ารถพังยับเยินมีการประเมินค่าซ่อมจากทางร้านมา 2 แสนกว่าบาท ขณะที่จำเลยได้แต่อ้างลอยๆ ว่าค่าซ่อมไม่เกินแสน แต่ไม่นำสืบให้เห็นว่า ซ่อมได้แค่แสนเดียวเพราะเหตุใด ข้ออ้างจึงฟังไม่ขึ้น ศาลล่างกำหนดให้จ่าย2 แสนกว่าบาทถูกต้องแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษายืน
เวลารถชนกันเรื่องถึงศาล สูตรสำเร็จของฝ่ายจำเลย คือ อ้างว่าโจทก์ประมาท หรือประมาทร่วมด้วยเพื่อให้ศาลยกฟ้อง หรือเอามาเป็นตัวหาร ลดค่าเสียหายลง สำหรับคดีนี้ศาลตัดสินว่ารถพ่วงต้องรับเหมาทั้งหมด
สูตรสำเร็จอีกอย่าง คือ จำเลยมักอ้างมั่วๆ ว่า ค่าเสียหายที่เกิดจากรถพัง โจทก์เรียกมา เวอร์แท้ที่จริงแค่เท่านั้นเท่านี้ ไม่กี่บาท โจทก์อ่านคำให้การแล้วอยากเขกกบาลจำเลยสักสามโป๊ก
ครับ ศาลฎีกาในคดีนี้ท่านชี้ชัดว่า เขาเสียหาย 2 แสนกว่าเกือบ 3 แสน จำเลยจะมาอ้างมั่วๆ ว่าเสียหายไม่เกินแสนแบบลอยๆ ไม่ได้หรอก
จำเลยต้องนำสืบ ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า ทำไมจึงเสียหายแค่น้อยนิดอย่างนั้น ขณะเดียวกันศาลก็ต้องให้โจทก์พิสูจน์เช่นกันว่า เสียหายจริงๆ เท่าไร จึงจะตัดสินให้ไปตามนั้น
ผมเห็นด้วยอย่างแรงที่ศาลตัดสินออกมาแบบนี้ เพราะคดีรถแต่ละราย จำเลยที่โดนฟ้องชอบมั่วนิ่มเรื่องค่าเสียหายเป็นที่สุด
อย่างว่า ฝ่ายโจทก์บางครั้งก็มั่วพอสมควร เรียกค่าเสียหายสุดเวอร์ จำเลยเห็นแล้วแทบชอคก็มี
สรุปแล้ว ขอให้ทุกท่านโชคดีไม่เจอพิษภัยจากรถพ่วง ไม่เจอภัยจากการเมืองไทยที่ดิ่งลงเหวไม่ยอมโงหัวขึ้น ไม่สนใจว่าชาวบ้านร้านถิ่นจะทุกข์ยากอย่างไร เวรกรรมแต้ๆ หมู่เฮา
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2544
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/79045